ไอลีน วูออร์โนส (Aileen Wuornos) "นางฟ้าแห่งความตาย" สหรัฐอเมริกา

Aileen Wuornos

 Aileen Wuornos: (The Damsel of Death)

   ไอลีน วอร์นอส เธอเกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ปี 1956 ที่เมืองรอเชสเตอร์ มิชิแกน ชีวิตของเธอเริ่มต้นจากครอบครัวที่เปราะบางสุดๆ แม่ของเธอ ไดแอน วอร์นอส ตอนนั้นอายุแค่ 14 เอง ก็ดันไปแต่งงานกับ ลีโอ เดล พิตต์แมน ชายหนุ่มที่มีปัญหาทางจิต แถมยังนิสัยรุนแรงอีกต่างหาก พ่อแท้ๆ ของไอลีนคนนี้เป็นอาชญากร มีประวัติข่มขืนเด็ก และโดนจับคดีนี้ด้วยนะ หลังจากไดแอนท้องได้ไม่นาน ลีโอก็โดนจับเข้าคุก และสุดท้ายก็ฆ่าตัวตายในคุกตอนปี 1969 ตอนนั้นไอลีนอายุแค่ 13 ปีเท่านั้นเอง พ่อคนนี้เลยไม่เคยมีบทบาทในชีวิตของไอลีนเลย

ส่วนไดแอนเองก็ยังไม่พร้อมเป็นแม่จริงๆ เธอมีลูกชายคนโตชื่อ คีธ ในปี 1955 แล้วปีถัดมาก็มีไอลีน การแต่งงานของไดแอนกับลีโอพังตั้งแต่ไอลีนยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เธอหย่ากับลีโอในปี 1956 แล้วต้องเลี้ยงลูกสองคนเอง ในวัยที่เธอยังเป็นแค่เด็กสาว ไดแอนพยายามเลี้ยงคีธกับไอลีนที่รอเชสเตอร์ แต่ชีวิตที่ยากจนและความกดดันมันบีบคั้นเกินไป เธอเลยตัดสินใจครั้งใหญ่ตอนไอลีนอายุแค่ 4 ขวบ (ประมาณปี 1960) ไดแอนทิ้งคีธกับไอลีนไว้กับปู่ย่าฝั่งแม่ ลอรี และ บริตตา วอร์นอส ที่เมืองทรอย มิชิแกน ห่างไปแค่ 30 ไมล์เท่านั้น ไดแอนหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และแทบไม่เคยติดต่อลูกๆ อีกเลย การถูกแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เด็กนี่แหละ ที่ฝากรอยแผลลึกในใจของไอลีน เธอบอกว่า "ฉันรู้สึกเหมือนถูกขว้างทิ้งเหมือนขยะ" ลอรีกับบริตตา วอร์นอส รับเลี้ยงคีธและไอลีนอย่างเป็นทางการในฐานะบุตรบุญธรรม แต่แทนที่บ้านนี้จะเป็นที่พักพิง มันกลับกลายเป็น "ขุมนรก" สำหรับไอลีนเสียอย่างนั้น ลอรี วัย 50 ต้นๆ เป็นคนงานโรงงานที่เข้มงวดและโหดร้าย เขาติดเหล้าจัด และมักจะระบายอารมณ์ด้วยการตีลูกหลานด้วยเข็มขัดหรือไม่ก็มือเปล่า ส่วนบริตตา ภรรยาของเขาก็ติดเหล้าเหมือนกัน แถมยังมีปัญหาสุขภาพจิตอีกด้วย เธอมักจะเมามายจนดูแลเด็กๆ ไม่ได้เลย บ้านของวอร์นอสเลยเต็มไปด้วยความรุนแรง การทะเลาะวิวาท และความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา

ที่โรงเรียน ไอลีนเป็นเด็กที่ถูกเพื่อนรังเกียจมาก เธอใส่เสื้อผ้ามือสองขาดๆ แถมยังมีกลิ่นตัวจากบ้านที่ไม่สะอาด เพื่อนๆ ก็ล้อเลียนเธอว่า "เด็กกำพร้า" หรือ "เด็กขยะ" ครูบางคนก็สังเกตเห็นว่าเธอมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม เช่น ชอบโกหก ขโมยของเล็กๆ น้อยๆ หรือระเบิดอารมณ์เมื่อถูกยั่วโมโห แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเธอเลย ไอลีนเล่าว่าเธอรู้สึกเหมือน "ไม่มีที่ยืนในโลกนี้" และเริ่มเก็บตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อหนีจากความโหดร้ายที่บ้านและการถูกกีดกันที่โรงเรียน ไอลีนเริ่ม สูบบุหรี่ และ ดื่มเหล้า ตั้งแต่อายุแค่ 9-10 ขวบเท่านั้นเอง เธอขโมยเงินจากกระเป๋าของลอรีหรือย่ามาซื้อเหล้ากับบุหรี่จากร้านค้าแถวบ้าน ในชุมชนทรอย ซึ่งเป็นย่านชนชั้นแรงงาน เธอเริ่มคบหากับเด็กที่มีปัญหาคล้ายๆ กัน และพัฒนาพฤติกรรมเสี่ยงๆ เช่น หนีโรงเรียน หรือนอนนอกบ้าน พอเข้าสู่วัยรุ่น (ประมาณปี 1966-1969) ไอลีนก็เริ่ม ค้าประเวณี ตั้งแต่อายุแค่ 11 ขวบ เธอยอมแลกเซ็กส์กับเด็กผู้ชายในโรงเรียนหรือผู้ชายในละแวกบ้านเพื่อแลกกับเงิน บุหรี่ เบียร์ หรือยาเสพติด พฤติกรรมนี้ไม่ใช่แค่การหาเงินเท่านั้นนะ แต่มันเป็นวิธีที่เธอรู้สึกว่า "มีค่า" และ "เป็นที่ต้องการ" ในโลกที่ปฏิเสธเธอมาตลอด เธอบอกว่า "มันทำให้ฉันรู้สึกมีพลังบ้าง แม้จะสกปรกแค่ไหนก็ตาม"

ในปี 1970 ตอนที่ ไอลีน อายุ 14 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล เธอถูก ข่มขืน โดยชายนิรนาม (บางแหล่งก็บอกว่าเป็นเพื่อนของลอรี) แล้วก็ตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ในวัยเด็กยิ่งทำให้เธอถูกสังคมตีตราหนักกว่าเดิม ลอรีโกรธจัดและบังคับให้เธอออกจากบ้าน เธอถูกส่งไปยัง บ้านพักเด็กกำพร้า ในเมืองดีทรอยต์ และคลอดลูกชายในเดือนมีนาคม ปี 1971 เด็กถูกส่งไปรับเลี้ยงทันที และไอลีนไม่เคยเห็นหน้าลูกของเธอเลย การสูญเสียลูกและการถูกครอบครัวขับไล่ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือน "ถูกสาป" หนักเข้าไปอีก

หลังจากนั้น ไอลีนก็หนีออกจากบ้านพักเด็กและเริ่มต้นชีวิต เร่ร่อน เธอไปนอนตามบ้านร้าง ป่า หรือบางครั้งก็ในรถของผู้ชายที่ซื้อบริการจากเธอ เธอเดินทางไปทั่วมิชิแกนและรัฐใกล้เคียง โดยอาศัยการค้าประเวณีและขโมยของเพื่อประทังชีวิต ในช่วงนี้ เธอเริ่มมีประวัติอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลักทรัพย์และเมาในที่สาธารณะ

ในบรรดาคนในครอบครัว คีธ พี่ชายของ ไอลีน เป็นคนเดียวที่เธอรู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุด แม้ว่าทั้งคู่จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเหมือนกัน แต่คีธกลับได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าจากลอรีอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้น คีธก็มีปัญหาติดยาและเหล้าเหมือนกันนะ ในช่วงวัยรุ่น เขากับไอลีนเคยหนีออกจากบ้านด้วยกัน และบางครั้งก็ช่วยเหลือกันหาเงินด้วยการขโมยหรือหลอกลวงแต่แล้วในปี 1976 ตอนที่ไอลีนอายุ 20 ปี คีธก็เสียชีวิตลงด้วย มะเร็งหลอดคอ ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการดื่มหนักและสูบบุหรี่จัดตั้งแต่เด็ก การตายของคีธเหมือนกับการสูญเสีย "สมอ" สุดท้ายในชีวิตของไอลีนเลย เธอบอกว่า "เมื่อคีธตาย ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันพังลง" การสูญเสียครั้งนี้ผลักให้เธอจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง และทำให้พฤติกรรมของเธอกลายเป็นอันตรายยิ่งขึ้นไปอีกจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ไอลีนใช้ชีวิตเร่ร่อนไปวันๆ ด้วยการขายตัวและก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปล้น ลักรถ หรือแม้แต่ยิงปืนจากรถยนต์

จนกระทั่งในปี 1986 เธอก็ได้พบกับ ไทเรีย มัวร์ หญิงสาวที่กลายมาเป็นทั้งคู่รักและคู่หูในการก่ออาชญากรรม ทั้งคู่ใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยเงินที่ได้จากงานโสเภณีและของที่ขโมยมา เส้นทางชีวิตที่มืดมิดของไอลีน วอร์นอส ดูเหมือนจะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ แล้วความสัมพันธ์กับไทเรีย มัวร์ จะพาเธอไปสู่จุดไหน

คดีของไอลีนเริ่มเป็นที่สนใจเมื่อศพชายวัยกลางคนถูกพบตามป่าและคูน้ำข้างทางหลวงในฟลอริดาตั้งแต่ พ.ศ. 2532 (1989) ศพแรกคือ ริชาร์ด มัลลอรี พบเมื่อ 13 ธันวาคม 2532 (1989) ในป่าใกล้เดย์โทนาบีช ถูกยิงด้วยปืน .22 คาลิเบอร์ รถของเขาถูกทิ้งห่างออกไป ตลอดปี 2533 (1990) มีศพเพิ่มอีก 5 ราย (และ ปีเตอร์ ซีมส์ ที่หายตัวแต่ไร้ศพ) ตำรวจจากหลายเคาน์ตี เช่น โวลูเซีย, ซิตรัส, และมาริออน เริ่มสงสัยว่ามีฆาตกรต่อเนื่อง เนื่องจาก เหยื่อเป็นชายวัย 40-60 ปี ขับรถคนเดียว ถูกยิงด้วยปืน .22 คาลิเบอร์ (ปลอกกระสุน Winchester) รถถูกทิ้ง และทรัพย์สิน เช่น กระเป๋าเงินและนาฬิกา หายไป ตำรวจตั้งสมมติฐานว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับ โสเภณี เนื่องจากเหยื่อบางคนมีประวัติซื้อบริการและสถานที่เกิดเหตุเป็นจุดที่โสเภณีมักทำงานตำรวจเริ่มรวบรวมข้อมูลจากโรงรับจำนำและพยานตามทางหลวง

อุบัติเหตุและลายนิ้วมือ :

จุดเปลี่ยนของคดีเกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2533 (1990) รถ Pontiac Sunbird สีส้มของ ปีเตอร์ ซีมส์ หนึ่งในเหยื่อที่หายตัว เกิดอุบัติเหตุในมาริออนเคาน์ตี พยานเห็นหญิงสองคนออกจากรถและทิ้งยานพาหนะไว้ หญิงหนึ่งมีผมสีน้ำตาล อีกคนผมบลอนด์และร่างใหญ่ ตำรวจเก็บ ลายนิ้วมือ จากรถและพบว่าตรงกับ ลอรี โกรดี (Lori Grody) ซึ่งเป็นนามแฝงของไอลีน วอร์นอส จากประวัติอาชญากรรมเล็กน้อยของเธอ เช่น ลักทรัพย์และครอบครองอาวุธใน พ.ศ. 2524-2529 (1981-1986)

ในเวลาเดียวกัน ตำรวจพบของของเหยื่อในโรงรับจำนำทั่วฟลอริดา เช่น กล้องของมัลลอรีและเครื่องมือของ เดวิด สเปียร์ส เจ้าของโรงรับจำนำให้ข้อมูลว่าเป็นหญิงผมบลอนด์ ร่างสูง ใช้ชื่อปลอมเช่น ลอรี โกรดี และ ซูซาน บลาโฮเวค ลายนิ้วมือจากใบเสร็จจำนำยืนยันว่าเป็นไอลีน ตำรวจยังสงสัยหญิงผมน้ำตาลที่ปรากฏในที่เกิดเหตุรถชน ซึ่งต่อมาพบว่าเป็น ไทเรีย มัวร์ คู่รักของไอลีน

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 (1990) ตำรวจโวลูเซียเคาน์ตีออกภาพสเก็ตช์ของหญิงสองคน โดยระบุชื่อปลอมว่า ซูซาน บลาโฮเวค และ ไทเรีย มัวร์ สื่อเรียกทั้งคู่ว่า “เทวทูตแห่งความตาย” (Angels of Death) และเผยแพร่ภาพทั่วฟลอริดา ผู้คนเริ่มโทรแจ้งเบาะแส รวมถึงพนักงานบาร์และโมเต็ลที่เห็นหญิงสองคนนี้ในเดย์โทนาบีช


ในเดือน ธันวาคม 2533 (1990) ตำรวจจากหลายหน่วยงาน รวมถึง โวลูเซียเคาน์ตี และ มาริออนเคาน์ตี นำโดย นายอำเภอจอห์น แทนเนอร์ และ นักสืบเจอร์รี ฟ็อกก์ ตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อจับไอลีนและไทเรีย พวกเขารู้ว่าไอลีนใช้ชีวิตเร่ร่อน พักในโมเต็ลราคาถูก และมักปรากฏตัวในบาร์ย่านเดย์โทนาบีช ข้อมูลจากพยานระบุว่าไทเรียแยกตัวจากไอลีนและหนีไปอยู่กับครอบครัวในเมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ตำรวจติดต่อไทเรียในวันที่ 5 มกราคม 2534 (1991) และเกลี้ยกล่อมให้เธอร่วมมือ

ไทเรียยอมเป็น พยานลับ เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี เธอให้ข้อมูลว่าไอลีนสารภาพว่าเป็นคนฆ่าชายหลายคน และมักเล่าเรื่องการยิงเหยื่อขณะที่ทั้งคู่พักในโมเต็ล ไทเรียยอมรับว่าได้เงินจากของที่ไอลีนขโมยมา เช่น นาฬิกาและเครื่องประดับ แต่ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นการฆาตกรรม ตำรวจให้ไทเรียโทรหาไอลีนที่โมเต็ลในฟลอริดาเพื่อยืนยันตำแหน่งของเธอ และเริ่มบันทึกการสนทนา

เกมจิตวิทยาที่บาร์ :

ตำรวจพบว่าไอลีนซ่อนตัวที่ Last Resort Bar บาร์มอเตอร์ไซค์สุดโทรมใน พอร์ตออเรนจ์ ใกล้เดย์โทนาบีช เธอใช้ชื่อปลอมและนอนในห้องพักหลังบาร์ ตำรวจวางแผนจับกุมโดยไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากรู้ว่าไอลีนอาจมีปืนหรือต่อสู้ขัดขวาง ในวันที่ 8 มกราคม 2534 (1991) ตำรวจสายลับจากโวลูเซียและมาริออนเคาน์ตีปลอมตัวเป็น “ดีลเลอร์ยา” และ “นักเลง” เข้าไปในบาร์เพื่อเฝ้าสังเกตไอลีน พวกเขาคยตีสนิทกกับเธอโดยชวนดื่มเบียร์และพูดถึงรถมัสแตงที่ เธอชื่นชอบการแต่งตัวแบบทอมบอย สวมกางเกงยีนส์และแจ็กเก็ตหนัง ดูระแวงแต่ยอมคุยเมื่อมีคนเลี้ยงเหล้า

ในขณะเดียวกัน ไทเรียโทรหไอ ่นจากสถานีตำรวจในฟลริดา โดยมีนักสืบ แลร์รี่ ฮอร์เซปป คอยแนะนำ เธอร้องไห้และแกล้งว่ากลัวตำรวจที่กำลังตามหา “ซูซาน บลาโหวก” และขอให้ไอลีนเล่าความจริงเพื่อปกป้องเธอ ไอลนยอมรับในโทรศัพท์ว่า “ฉันจัดการพวกมันเอง เธอไม่เกี่ยว” และบอกว่าเธอฆ่าชายบางคนเพื่อป้องกันตัวจากการถูกข่มขืน คำสารภาพนี้ถูกบันทึกและกลายเป็นหลักฐานสำคัญ

วันที่ 9 มกราคม 2534 (1991) ตำรวจตัดสินใจลงมือเวลา 20:30 น. ทีมสายลับที่บาร์เรียกกำลังเสริมจากหน่วย SWAT ที่ซ่อนอยู่ในรถตู้ใกล้เคียง นักสืบไบรอัน จาร์วิส และ จอห์น บอนเนส เข้าควบคุมตัวไอลีนขณะที่เธอกำลังสูบบุหรี่และดื่มเบียร์ เธอพยายามพูดว่า “ฉันแค่คนจร” แต่ตำรวจแจ้งข้อหา ครอบครองอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต (จากประวัติเก่า) เพื่อเป็นข้ออ้างในการควบคุมตัว ไอลีนยอมจำนนโดยไม่ขัดขวาง ไม่พบปืน .22 บนตัวเธอ แต่ต่อมาพบว่าเธอทิ้งมันก่อนหน้านี้หรืออาจซ่อนไว้ ไอลีนถูกนำไปที่สถานีตำรวจโวลูเซียเคาน์ตี เธอปฏิเสธข้อหาฆาตกรรมในตอนแรก แต่เมื่อตำรวจเผยว่ามีคำให้การของไทเรียและลายนิ้วมือจากโรงรับจำนำ เธอเริ่มตื่นตกใจ ในวันที่ 16 มกราคม 2534 (1991) หลังถูกขัง 7 วันและเผชิญแรงกดดันจากข่าวที่สื่อรายงานทั่วประเทศ ไอลีนสารภาพต่อ นักสืบเดน ฟอช นักสืบเดน ฟอช และ และบิน มันต์ ว่าเธอฆ่าชาย 7 คน อ้างว่าทุกคนพยายามข่มขืนหรือทำร้ายเธอ "เธอจึงยิงเพื่อป้องกันตัว" เล่ารายละเอียดสถานที่ รถยนต์ และลักษณะเหยื่อ เช่น มัลลอรีที่ “ข่มขืนเธออย่างโหดร้าย” หรือสเปียร์สที่ “พยายามบีบคอ” ยอมรับว่าปล้นเงินและของมีค่า เช่น นานาฬิกาของฮัมฟรี เพื่อใช้จ่ายและซื้อของให้ไทเรีย คำสารภาพถูกบันทึกเป็นวิดีโอและกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม ไอลีนไม่รู้ว่าการสารภาพโดยไม่มีทนายอาจทำลายโอกาสของเธอในศาล เธอยังขอพบไทเรีย แต่ตำรวจปฏิเสธเพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิด

การพิจารณาคดี :

ารพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการเริ่มใน พ.ศ. 2535 (1992) เธอถูกตั้งข้อหา ฆาตกรรมโดยเจตนา (first-degree murder) 6 กระทง ในคดีของ ริชาร์ด มัลลอรี, เดวิด สเปียร์ส, ชาร์ลส คาร์สแคดดอน, ทรอย เบอร์เรส, ชาร์ลส ฮัมฟรีย์ส, และ วอลเตอร์ อันโตนิโอ คดีของ ปีเตอร์ ซีมส์ ไม่ถูกดำเนินการเพราะขาดศพ การพิจารณาคดีแยกเป็นหลายครั้ง โดยคดีมัลลอรีเป็นคดีแรกและสำคัญที่สุด เนื่องจากกำหนดโทนของคดีอื่นๆ การพิจารณาคดีคดีมัลลอรีเริ่มเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2535 (1992) ที่ศาลโวลูเซียเคาน์ตี ฟลอริดา ต่อหน้าผู้พิพากษา ยูเรียล บลอนท์ จูเนียร์ (Uriel Blount Jr.) อัยการ จอห์น แทนเนอร์ (John Tanner) นำทีมโจทก์ โดยใช้หลักฐานสำคัญ: ไอลีนยอมรับเมื่อ 16 มกราคม 2534 (1991) ว่าเธอยิงมัลลอรีด้วยปืน .22 คาลิเบอร์ 4 นัด หลังเขาพยายามข่มขืนเธอ ไทเรีย คู่รักของไอลีน ซึ่งเป็นพยานลับของตำรวจ เล่าว่าไอลีนสารภาพว่า “จัดการ” มัลลอรี และนำของของเขา เช่น กล้องถ่ายรูป มาจำนำ ลายนิ้วมือของไอลีนบนใบเสร็จโรงรับจำนำที่เชื่อมโยงกับของของมัลลอรี และปลอกกระสุน Winchester .22 ที่พบในที่เกิดเหตุ อัยการชี้ว่าเธอปล้นเงินและของมีค่า แสดงถึงเจตนาฆ่าเพื่อผลประโยชน์ ทีมจำเลย นำโดยทนายแต่งตั้ง ทริเซีย เจนกินส์ (Tricia Jenkins) และผู้ช่วย บิลลี่ โนแลส (Billy Nolas) โต้แย้งว่าไอลีนฆ่าเพื่อ ป้องกันตัว (self-defense)

ทีมจำเลย นำโดยทนายแต่งตั้ง ทริเซีย เจนกินส์ (Tricia Jenkins) และผู้ช่วย บิลลี่ โนแลส (Billy Nolas) โต้แย้งว่าไอลีนฆ่าเพื่อ ป้องกันตัว (self-defense) โดยเน้น

1.ประวัติติดเหล้าและเคยถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะไม่มีคดีข่มขืนในบันทึก แต่จำเลยชี้ว่าเขาอาจทำร้ายไอลีน

2.การถูกทารุณและข่มขืนตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอหวาดระแวงผู้ชายและตีความการกระทำของมัลลอรีว่าเป็นภัยคุกคาม

3.จิตแพทย์ ดร. อาร์เธอร์ สติลเวลล์ วินิจฉัยว่าไอลีนมี โรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder) และ ต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) รวมถึง PTSD จากบาดแผลวัยเด็ก ทำให้เธอตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล

ไอลีนให้การในศาลว่า มัลลอรีล่อเธอไปที่รถในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 (1989) เสนอเงิน 200 ดอลลาร์เพื่อมีเซ็กส์ แต่เมื่อถึงที่เปลี่ยว เขากลายเป็นคนละคน ทุบตีและพยายามข่มขืน เธอจึงคว้าปืน .22 จากกระเป๋าและยิงเขา เธอร้องไห้ในศาลว่า “ฉันแค่ไม่อยากตาย” อย่างไรก็ตาม อัยการชี้ว่าเรื่องราวของเธอไม่สอดคล้อง เพราะศพมัลลอรีไม่มีร่องรอยการต่อสู้ และไอลีนปล้นของมีค่าไป

วันที่ 27 มกราคม 2535 (1992) คณะลูกขุน (6 ชาย 6 หญิง) ตัดสินว่าไอลีนมีความผิดในข้อหา ฆาตกรรมโดยเจตนา หลังพิจารณาเพียง 91 นาที ในช่วงกำหนดโทษ อัยการเรียกร้อง ประหารชีวิต โดยชี้ว่าเป็นการฆ่าด้วยความเย็นชา (cold, calculated, and premeditated) จำเลยขอ จำคุกตลอดชีวิต โดยอ้างสุขภาพจิตและวัยเด็ก แต่คณะลูกขุนแนะนำโทษประหารด้วยคะแนน 10-2 วันที่ 31 มกราคม 2535 ผู้พิพากษาบลอนท์ตัดสินให้ไอลีนรับ โทษประหาร ไอลีนตะโกนด่าทอว่า “ฉันถูกข่มขืน! ขอให้พวกแกถูกข่มขืนเหมือนกัน!” และชูนิ้วกลางใส่ศาล ไอลีนยื่นอุทธรณ์หลายครั้งระหว่าง พ.ศ. 2535-2545 (1992–2002) โดยทีมทนายใหม่ เช่น ริชาร์ด ธอร์นตัน

ศาลฎีกาฟลอริดายืนยันโทษทั้ง 6 กระทงใน พ.ศ. 2539 (1996) และปฏิเสธการอุทธรณ์ครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. 2544 (2001) องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International เรียกร้องให้ลดโทษ โดยชี้ว่าสุขภาพจิตของไอลีนและการถูกทำร้ายในวงการโสเภณีควรเป็นปัจจัยบรรเทาโทษ แต่นักสตรีนิยมบางคน เช่น แอนเดรีย ดวอร์กิน เห็นว่าไอลีนสมควรได้รับความเห็นใจ ในขณะที่บางคน เช่น แพทริเซีย ไอร์แลนด์ เห็นว่าเธอเป็นภัยต่อสังคม

ใน พ.ศ. 2544 (2001) ไอลีนยื่นคำร้องต่อผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เจบ บุช (Jeb Bush) ขอให้เร่งประหาร เธอบอกว่า “ฉันฆ่าพวกนั้นเพื่อเงิน ฉันไม่อยากอยู่ในคุกอีกต่อไป” จิตแพทย์ 3 คนประเมินและยืนยันว่าเธอมีสติสัมปชัญญะเพียงพอตัดสินใจ บุชลงนามใบประหารใน กันยายน 2545 (2002)

จุดจบที่เดย์โทนา :

ไอลีนถูกขังที่ Broward Correctional Institution ในเพมโบรกไพน์ส ฟลอริดา ตลอด 10 ปีหลังตัดสิน เธอกลายเป็นนักโทษที่มีชื่อเสียง เขียนจดหมายถึงแฟนคลับและให้สัมภาษณ์กับสื่อ เช่น สารคดีของ นิก บรูมฟิลด์ เธอมักพูดถึงความเกลียดชังต่อระบบยุติธรรมและความรักที่มีต่อไทเรีย แต่ในช่วงสุดท้าย เธอเริ่มหวาดระแวง อ้างว่ารัฐบาลใช้ “คลื่นโซนิค” ทรมานเธอในคุก

วันที่ 9 ตุลาคม 2545 (2002) ไอลีน วอนอส วัย 46 ปี ถูกประหารด้วยการ ฉีดยาพิษ ที่เรือนจำ Florida State Prison ในสตาร์ก ฟลอริดา การประหารเริ่มเวลา 9:47 น. เธอปฏิเสธมื้อสุดท้าย ขอเพียงกาแฟดำหนึ่งแก้ว คำพูดสุดท้ายของเธอคือ:

ฉันอยากบอกว่าฉันกำลังแล่นเรือไปกับก้อนหิน และจะกลับมาเหมือนใน Independence Day พร้อมยานแม่และพระเยซู วันที่ 15 มิถุนายน! ขอบคุณ...

ยาที่ใช้คือ โซเดียมเพนโทบาร์บิทัล (ทำให้หลับ), แพงโครเนียมโบรไมด์ (หยุดกล้ามเนื้อ) และโพแทสเซียมคลอไรด์ (หยุดหัวใจ) เธอเสียชีวิตเวลา 10:08 น. การประหารมีพยาน 19 คน รวมถึงสมาชิกครอบครัวของเหยื่อ เช่น จอวร์ส ฮัมฟรีย์ ลูกสาวของชาร์ลส ฮัมฟรีย์ส ซึ่งบอกว่า “ในที่สุดความยุติธรรมก็มาถึง”

ร่างของไอลีนถูกเผาที่ เดย์โทนบูชวเนส ในเดย์โทนบีช เมืองที่เธอก่อเหตุครั้งแรก เถ้าถ่านถูกส่งให้ ดอว์น บอตคินส์ เพื่อนวัยเด็กจากมิชิแกน ซึ่งนำไปโปรยใต้ต้นไม้ในทรอย มิชิแกน พร้อมเพลง “Carnival” ของนาตาลี เมอร์แชร์ ตามคำขอของไอลีนเป็นการสิ้นสุดชีวิตของเธอ

ความคิดเห็น