อัลเบิร์ต เดอซัลโว (Albert DeSalvo) "บอสตัน สแตรงเลอร์" สหรัฐอเมริกา
![]() |
Albert DeSalvo |
Albert DeSalvo: (The Boston Strangler)
ทุกอย่างเริ่มเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2474 (1931) ในเมือง เชลซี เมืองท่าเรือที่เต็มไปด้วยโรงงานและกลิ่นน้ำเค็ม อัลเบิร์ต ลืมตาดูโลกในบ้านของ แฟรงก์ และ ชาร์ล็อตต์ เดอซัลโว ครอบครัวที่ยากจนและวุ่นวายราวกับพายุไม่เคยหยุด แฟรงก์ พ่อของเขา เป็นช่างประปาและคนงานท่าเรือ แต่ชื่อเสียงของเขาคือความโหดร้าย เขาติดเหล้าจนเมามายทุกวัน ทุบตีชาร์ล็อตต์ต่อหน้าลูกๆ หกคน (โจเซฟ, ริชาร์ด, เออร์มา, ฟิลลิส, อัลเบิร์ต และอีกหนึ่งคนที่ไม่มีการบันทึกชื่อ) ครั้งหนึ่งแฟรงก์ หักนิ้วชาร์ล็อตต์ทีละนิ้ว เพราะโกรธที่อาหารเย็นไม่อร่อย เขายังพาผู้หญิงอื่นเข้าบ้าน บังคับให้ชาร์ล็อตต์นั่งดูเขา “สนุก” กับคนเหล่านั้น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเมื่ออัลเบิร์ตอายุราว 5-6 ขวบ (ราว พ.ศ. 2479-2480/1936-1937) แฟรงก์ ขายอัลเบิร์ตและพี่น้อง ให้กับชาวนาด้วยเงิน 9 ดอลลาร์เพื่อเอาไปซื้อเหล้า! โชคดีที่ตำรวจตามตัวเด็กๆ กลับมาได้ แต่ความรู้สึกถูกทิ้งขว้างฝังลึกในใจเด็กน้อย บ้านเดอซัลโวคือสนามรบ ชาร์ล็อตต์ แม้รักลูกแต่หมดแรงจากความยากจนและการถูกทำร้าย เธอไม่มีเวลาดูแลอัลเบิร์ตที่เป็นลูกคนเล็ก เขาเติบโตท่ามกลางการตะโกนและรอยช้ำของแม่ ย่านเชลซีเองก็ไม่ใช่สวรรค์ เด็กๆ ต้องออกไปหาเงินตั้งแต่เด็ก อัลเบิร์ตเริ่ม ขโมยของ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ (ราว พ.ศ. 2481/1938) เขาจะลักนม ขนมปัง หรือผลไม้จากร้านค้าเพื่อช่วยครอบครัว หรือบางครั้งเพื่อกินเอง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือพฤติกรรมแปลกๆ เขาชอบจับ สุนัขและแมว ในละแวกบ้านมาใส่ลังไม้ แล้วยิงธนูใส่เพื่อดูมันดิ้นตาย เพื่อนบ้านเริ่มเรียกเขาว่า “เด็กมีปัญหา” และพ่อแม่คนอื่นเตือนลูกให้อยู่ห่างจากเขา
![]() |
Albert DeSalvo เคยอยู่ที่ Wauchusett Lyman School for Boys ช่วงระยะเวลาสั้นๆ |
ที่โรงเรียน อัลเบิร์ตไม่ใช่เด็กที่โดดเด่น เขาเรียนได้แค่ระดับประถม และมักถูกเพื่อนล้อว่าเป็น “เด็กโสโครก” เพราะเสื้อผ้าขาดและตัวมอมแมม เขาตอบโต้ด้วยการต่อยเพื่อน ทำให้ถูกครูลงโทษบ่อยๆ ความรุนแรงที่เห็นจากพ่อเหมือนซึมเข้าไปในตัวเขา เมื่ออายุ 10 ขวบ (ราว พ.ศ. 2484/1941) เขาเริ่มมีพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติ เดอซัลโวยอมรับในภายหลังว่าเขา “ทดลอง” กับเด็กผู้หญิงในละแวกบ้าน บางครั้งถูกจับได้และถูกตีโดยพ่อหรือพ่อแม่ของเด็ก ชีวิตในบ้านยิ่งแย่เมื่อแฟรงก์ทิ้งครอบครัวไปในช่วงนี้ ชาร์ล็อตต์ต้องทำงานหนักขึ้น และอัลเบิร์ตกลายเป็นเด็กที่ควบคุมยาก
เมื่ออายุ 12 ปี (พ.ศ. 2486/1943) อัลเบิร์ตถูกจับครั้งแรกในข้อหา ลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย หลังขโมยเงินจากร้านค้าและต่อยเจ้าของที่พยายามจับเขา ศาลส่งเขาไป โรงเรียนดัดสันดาน (Lyman School for Boys) ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ฟื้นฟู แต่เหมือนคุกสำหรับเด็ก เขาถูกรังแกโดยเด็กโต และเรียนรู้การเอาตัวรอดด้วยการโกหกและต่อสู้ หลังออกจากโรงเรียนในวัย 13 ปี (พ.ศ. 2487/1944) เขากลับมาเชลซีและออกจากโรงเรียนถาวร ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ส่งหนังสือพิมพ์หรือช่วยงานในท่าเรือ แต่ยังคงขโมยของเป็นประจำ
หลังจากเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่น อัลเบิร์ตก็เริ่มหล่อเหลาขึ้น เขามีผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาเป็นมิตร และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ แต่ลึกๆภายในใจยังเต็มไปด้วยความโกรธและความสับสน เขาคบเพื่อนที่เป็นเด็กมีปัญหาเหมือนกัน และเริ่มดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ในช่วงนี้ เขามีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก ซึ่งต่อมาเล่าว่ามักเกี่ยวข้องกับการ “บังคับ” เด็กผู้หญิงในละแวกบ้าน พฤติกรรมนี้ทำให้เขาเกือบถูกจับหลายครั้ง แต่เขารู้วิธีพูดจาหว่านล้อมให้รอดตัวได้เสมอ
การเติบโตของอัลเบิร์ต :
เมื่ออายุ 17 ปี (พ.ศ. 2491/1948) อัลเบิร์ตหนีจากชีวิตที่วุ่นวายด้วยการสมัครเข้ากองทัพสหรัฐ เขาถูกส่งไปประจำการที่ เยอรมนี และที่นี่เขาเริ่มฉายแววในฐานะ นักมวยสมัครเล่น ความแข็งแกร่งและความว่องไวทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบในค่ายทหาร เขาได้เลื่อนยศเป็น จ่าสิบเอก และดูเหมือนจะมีอนาคตที่ดี แต่ความโรคจิตในตัวเขายังอยู่ ใน พ.ศ. 2493 (1950) เขาถูกกล่าวหาว่า ล่วงละเมิดทางเพศเด็กสาววัย 9 ปี ในค่ายทหาร คดีนี้ไม่ถึงศาลทหารเพราะผู้บังคับบัญชาต้องการปกปิดเรื่องอื้อฉาว เขาถูกส่งกลับอเมริกาและ ปลดอย่างมีเกียรติ ใน พ.ศ. 2499 (1956) เพื่อปกปิดเรื่องนี้ให้เงียบ
รูปถ่าย อัลเบิร์ต เดอซัลโว กับภรรยาและลูกของเขาที่ชายหาดในมหานครบอสตัน |
เขากลับมาบอสตันวัย 25 ปี อัลเบิร์ตพยายามเริ่มต้นใหม่ เขาได้งานเป็น ช่างซ่อม และ คนงานก่อสร้าง ซึ่งทำให้เขาเดินทางไปทั่วเมือง ที่นี่เขาได้พบ เออร์มการ์ด เบค หญิงสาวชาวเยอรมันที่เจอในค่ายทหาร ทั้งคู่แต่งงานใน พ.ศ. 2498 (1955) และย้ายไปอยู่ที่เมือง มัลเดน ใกล้บอสตัน พวกเขามีลูกสองคน: จูดี้ (เกิด พ.ศ. 2500/1957) ที่พิการจากโรคสะโพกตั้งแต่กำเนิด และ ไมเคิล (เกิด พ.ศ. 2503/1960) ภายนอก อัลเบิร์ตดูเป็นสามีและพ่อที่ดี เขาทำงานหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัว และมักพูดถึงความฝันที่จะเป็นนักมวยมืออาชีพ เพื่อนบ้านมองว่าเขาเป็นคนยิ้มง่าย มีเสน่ห์ และชอบช่วยเหลือ เช่น ซ่อมท่อให้ฟรี แต่เออร์มการ์ดรู้เรื่องอีกด้านนึงของเขา เธอเล่าว่าอัลเบิร์ต หมกมุ่นกับเซ็กส์ ต้องการถึง 5-6 ครั้งต่อวัน จนเธอรู้สึกเหมือนเป็น “เครื่องมือ” เมื่อเธอปฏิเสธ เขาจะโกรธและบางครั้งออกจากบ้านไปนานหลายชั่วโมง ความต้องการที่ควบคุมไม่ได้นี้นำไปสู่พฤติกรรมอาชญากรรม ใน พ.ศ. 2502 (1959) เขาเริ่มเป็น “เมเจอริ่ง แมน” (Measuring Man) ด้วยการเคาะประตูบ้านหญิงสาว อ้างว่าเป็นตัวแทนโมเดลลิ่งจากนิวยอร์ก และขอวัดตัวเพื่อ “งานถ่ายแบบ” หญิงสาวที่หลงเชื่อจะถูกเขาลวนลาม เขาทำแบบนี้หลายสิบครั้งในบอสตันและเมืองใกล้เคียง จนถูกจับใน พ.ศ. 2503 (1960) แต่ได้รับประกันตัว และคดีถูกตัดสินเพียงเล็กน้อย ทำให้เขาไม่ต้องติดคุกนาน หลังออกจากศาล อัลเบิร์กลับมาในบท “กรีน แมน” (Green Man) ที่น่ากกลัวกว่าเดิม ใน พ.ศ. 2504-2505 (1961-1962) เขาแต่งตัวเป็นช่างทาสีในชุดสีเขียว หลอกว่าเป็นช่างซ่อม เข้าบ้านหญิงสาว และ ข่มขืน คาดว่าเขาก่อเหตุมากกว่า 300 ครั้ง ในแมสซาชูเซตสต์, คอนเนตทิคัต, นิวแฮมป์เชียร์ และโรดไอแลนด์ เขามักเลือกเหยื่อที่อยู่คนเดียวและใช้ความสามารถในการพูดจาหว่านล้อมให้เหยื่อไว้ใจ ตำรวจจับเขาได้ใน พ.ศ. 2507 (1964) จากคำให้การของเหยื่อรายหนึ่ง แต่คดีเหล่านี้เป็นเพียงยอดเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง เพราะในช่วงนี้ คดี บอสตัน สแตรงเลอร์ เริ่มต้นขึ้น และชื่อของเดอซัลโวจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์อาชญากรรม!
วัยเด็กและวัยหนุ่มของอัลเบิร์ตเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านในดินแห้งแตก รุนแรงจากพ่อ ความยากจนจากแม่ และการถูกปฏิเสธจากสังคม ทำให้เขาเติบโตเป็นชายที่มีทั้งแสงและเงา เขาคือสามีที่รักลูก แต่ก็เป็นคนที่ซ่อนความวิปริตไว้ในรอยยิ้ม ชีวิตของเขาคือปริศนาว่าบาดแผลในวัยเด็กสร้างฆาตกร หรือแค่ปลุกบางสิ่งที่อยู่ในตัวเขาตั้งแต่แรก
คดีบอสตัน สแตรงเลอร์เริ่มต้นเมื่อ 14 มิถุนายน 2505 (1962) และสิ้นสุดเมื่อ 4 มกราคม 2507 (1964) เหยื่อทุกคนเป็นผู้หญิง อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในบอสตันและเมืองใกล้เคียง เช่น เคมบริดจ์และลินน์ ลักษณะเด่นคือ ไม่มีร่องรอยงัดแงะ ฆาตกรน่าจะหลอกให้เหยื่อเปิดประตู หรือเป็นคนที่พวกเธอไว้ใจ ส่วนใหญ่จะถูกข่มขืน รัดคอด้วยถุงน่องหรือผ้า ศพถูกจัดท่าในลักษณะยั่วยวน สื่อเรียกฆาตกรว่า “ผีรัดคอ” หรือ “ฟานทอม ฟีนด์” จนผู้หญิงในบอสตันพากันซื้อกลอนประตูใหม่และสเปรย์พริกไทย
เหล่าเหยื่อของอัลเบิร์ต :
1.แอนนา แม่ม่ายชาวลัตเวีย วัย 55 ปี ถูกพบโดยลูกชาย ที่อพาร์ตเมนต์, ถนนเกนส์โบโร, บอสตัน ศพสภาพเปลือยถูกพบในห้องน้ำ ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยสายเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผูกเป็นโบว์ เครื่องเล่นแผ่นเสียงยังหมุนอยู่ ตำรวจสงสัยเป็นการฆ่าตัวตายตอนแรก แต่รอยรัดคอบ่งชี้ว่าเป็นฆาตกรรม
2.แมรี คุณย่าวัย 85 ปี ที่อาศัยคนเดียวในอพาร์ตเมนต์, คอมมอนเวลธ์ อเวนิว, บอสตัน ตายด้วยอาการหัวใจวายระหว่างถูกทำร้าย ตำรวจพบศพนอนอยู่ที่บนโซฟา มีถุงน่องรัดคอหลวมๆ ไม่มีร่องรอยข่มขืน เดอซัลโวอ้างว่าเขากำลังรัดคอ แต่เธอเสียชีวิตไปซะก่อน ผลชันสูตรพบว่าเธอได้หัวใจวายจนเสียชีวิต
3.นีนา อดีตนักกายภาพบำบัด วัย 68 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่อง 2 เส้น ศพนอนอยู่บนพื้นในอพาร์ตเมนต์, ถนนคอมมอนเวลธ์, บอสตัน ห้องถูกรื้อค้น กระเป๋าเงินหาย กระจกในห้องแตกเหมือนมีการต่อสู้เกิดขึ้น
4.เฮเลน พยาบาลเกษียณ วัย 65 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่องและสายชุดชั้นในเสียชีวิตในอพาร์ตเมนต์, ลินน์, แมสซาชูเซตส์ ศพนอนคว่ำบนเตียง ห้องถูกรื้อค้น ข้าวของมีค่าบางชิ้นหาย เหตุเกิดวันเดียวกับนีนา แต่อยู่คนละเมือง (ห่าง 15 ไมล์) ทำให้สงสัยว่าเป็นคนร้ายคนเดียวกันหรือไม่
5.ไอดา แม่ม่าย วัย 75 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยปลอกหมอน ที่ พาร์ตเมนต์, ถนนโกรฟ, บอสตัน ศพถูกจัดท่านั่งบนเก้าอี้ ขากางออกในลักษณะยั่วยวน ห้องไม่ถูกรื้อค้น แต่พบคราบน้ำอสุจิ
6.เจน พยาบาลวัย 67 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่อง ในอพาร์ตเมนต์, ถนนดอร์เชสเตอร์, บอสตัน ศพถูกยัดไว้ใต้ก๊อกน้ำในอ่างอาบน้ำ ศพเริ่มเน่าเหม็นทำให้ระบุวันที่เสียชีวิตนั้นเป็นไปได้ยาก การซ่อนศพแตกต่างจากคดีอื่น ทำให้บางคนสงสัยว่าเหยื่อรายนี้อาจไม่ใช่ฝีมือของสแตรงเลอร์
7.โซฟี นักเรียนผิวสี วัย 20 ปี ถูกข่มขืน โดนรัดคอด้วยถุงน่องและผ้าพันคอ พบศพเปลือยบนพื้นในอพาร์ตเมนต์, ถนนฮันติงตัน, บอสตัน มีน้ำอสุจิ 3 รอย ที่ในร่างกายของเธอ เพื่อนร่วมห้องเล่าว่าปกติ โซฟีระวังตัวมากและไม่เปิดประตูให้คนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากคดีนี้ผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงอายุแตกต่างจากคดีก่อน ทำให้ตำรวจสงสัยว่าอาจเป็นคนร้ายคนละคนกัน
8.แพทริเซีย เลขานุการที่ตั้งครรภ์ วัย 23 ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่องและเสื้อที่ อพาร์ตเมนต์, ถนนพาร์ค, บอสตัน ศพนอนบนเตียง ศพถูกคลุมด้วยผ้าห่มของเธอ ตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า การเอาผ้ามาคลุมเหยื่ออาจจะเป็นการรู้สึกผิดของฆาตกร
9.แมรี (ไม่ทราบอาชีพ) วัย 69 ปี ถูกตีที่หัว มีร่องรายการข่มขืน และแทงที่หน้าอกด้วยส้อม พบศพที่อพาร์ตเมนต์, ลอว์เรนซ์, แมสซาชูเซตส์ ลักษณะศพนอนบนเตียงและมีถุงน่องรัดคอแต่เป็นการรัดที่ไม่แน่น
10.เบเวอร์ลี วัย 23 ปี เป็นนักร้องประสานเสียง ถูกแทง 22 แผลที่คอและหน้าอก มีถุงน่องและผ้าพันคอรัดอยู่บริวณคอแบบหลวมๆ พบศพที่อพาร์ตเมนต์, เคมบริดจ์ ลักษณะนอนอยู่บนเตียง ไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืน
11.เอเวลิน อดีตพนักงานธนาคาร วัย 58 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่อง พบศพที่อพาร์ตเมนต์, เซเลม, แมสซาชูเซตส์ ลักษณะนอนบนเตียง ปากถูกยัดด้วยผ้าเช็ดหน้า
12.โจแอนน์ ครูศิลปะ วัย 23 ปี ถูกข่มขืนและรัดคอด้วยถุงน่อง พบศพที่อพาร์ตเมนต์, ลอว์เรนซ์ ศพถูกวางนอนไว้บนเตียง มีรอยฟกช้ำจากการต่อสู้ ซึ่งเธอเกิดวันเดียวกับการลอบสังหาร JFK
13.แมรี เลขานุการ วัย 19 ปี ถูกข่มขืน โดนรัดคอด้วยถุงน่องและผ้าพันคอ พบศพที่อพาร์ตเมนต์, ถนนชาร์ลส์, บอสตัน เธอถูกวางท่าที่นั่งพิงหัวเตียง มีไม้กวาดยัดในช่องคลอด และการ์ดเขียน “สวัสดีปีใหม่” วางข้างศพ เป็นการเยาะเย้ยตำรวจที่ชัดเจนที่สุด DNA ใน พ.ศ. 2556 (2013) ยืนยันเดอซัลโวเป็นฆาตกร
การสืบสวนและการจับกุม :
ตำรวจตั้ง หน่วยสแตรงเลอร์ นำโดย จอห์น โดโนแวน หัวหน้าตำรวจบอสตัน และ จอห์น บอตทอมลี นักสืบจากเคมบริดจ์ พวกเขางัดทุกวิถีทางมาใช้ เริ่มจากเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ: น้ำอสุจิ (แต่ยุค 60s ยังไม่มีดีเอ็นเอ), รอยนิ้วมือ (แทบจะหาไม่เจอ), และ ถุงน่อง/ผ้า ที่ใช้รัดคอเหยื่อแต่ก็ไม่มีอะไรบ่งชี้ตัวคนร้ายได้อย่างชัดเจน ตำรวจสอบปากคำคนในละแวกบ้านนับร้อยคน สงสัยทุกคนตั้งแต่ช่างประปายันคนเร่ร่อน แต่ไม่มีเบาะแสชัดเจน พยานบางคนบอกเห็นชายผมน้ำตาลเดินวนแถวที่เกิดเหตุ แต่คำอธิบายคลุมเครือเกินไป ความกดดันพุ่งถึงขีดสุดเมื่อศพเพิ่มถึง 13 รายใน 18 เดือน นายกเทศมนตรีจอห์น คอลลินส์ และ อัยการสูงสุดเอ็ดเวิร์ด บรูก ถูกสื่อรุมทวงถาม ตำรวจเลยลองวิธีแปลกๆ เช่น จ้าง ปีเตอร์ เฮอร์คอส หมอดูชาวดัตช์ที่อ้างว่ามองเห็นฆาตกรผ่าน “พลังจิต” เขาบอกว่าคนร้ายเป็นชายวัยกลางคน ทำงานเกี่ยวกับรองเท้า และมีแผลเป็นที่มือ แต่สุดท้ายทายผิดหมด !! ตำรวจยังตั้งทีม นักจิตวิทยา นำโดย ดร. เจมส์ บรัสเซล ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรไฟล์อาชญากร เขาคาดว่าฆาตกรเป็นชายโสด อายุ 30-40 ปี มีปัญหาทางเพศ และอาจเกลียดแม่ แต่ข้อมูลนี้กว้างเกินไป ช่วยอะไรไม่ได้มากนัด
ในขณะที่เมืองตื่นตระหนก ตำรวจเริ่มสงสัยว่า อาจมีฆาตกรหลายคน เพราะเหยื่อมีทั้งวัยรุ่น (เช่น แมรี ซัลลิแวน วัย 19) และคนชรา (เช่น ไอดา เออร์กา วัย 75) วิธีฆ่าก็ไม่เหมือนกันทุกครั้ง บางคนถูกแทง (เช่น เบเวอร์ลี แซมมานส์) บางคนตายจากหัวใจวาย (เช่น แมรี มัลเลน) แต่ลายเซ็น “ถุงน่องผูกโบว์” ทำให้ตำรวจยังเชื่อว่าเป็นคนร้ายคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาตรวจสอบคนที่มีประวัติข่มขืนในบอสตัน รวมถึง อัลเบิร์ต เดอซัลโว ที่เคยถูกจับในคดี เมเจอริ่ง แมน (หลอกวัดตัวหญิงสาว) และ กรีนแมน (ข่มขืนในชุดช่างสีเขียว) แต่ตอนนั้นไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงเขา จุดพลิกผันมาแบบไม่คาดฝันเมื่อ 27 ตุลาคม 2507 (1964) หญิงสาวในเคมบริดจ์รอดจากการถูกข่มขืน เธอบอกว่าชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนนักสืบ เคาะประตูอ้างว่าเป็นตำรวจ เขาผูกเธอบนเตียงและพยายามข่มขืน แต่จู่ๆเขาก็ร้องไห้ และพูดขอโทษ แล้วก็วิ่งหนีไป เธอจำหน้าได้เขาได้อย่างชัดเจน ผมสีน้ำตาล รูปร่างสมส่วน จมูกโด่ง ตำรวจนำภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยมาให้ดู และเธอชี้ไปที่ อัลเบิร์ต เดอซัลโว วัย 33 ปี ที่เพิ่งถูกจับในคดีกรีนแมนเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เดอซัลโวถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจเคมบริดจ์ในข้อหาข่มขืน เขายิ้มแย้มและปฏิเสธทุกอย่าง ตำรวจพบว่าเขามีประวัติยาวเป็นหางว่าว ลักทรัพย์ตั้งแต่อายุ 12 ขวบลวนลามเด็กหญิงวัย 9 ขวบในกองทัพ, และข่มขืนนับร้อยครั้งใน 4 รัฐ แต่ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับสแตรงเลอร์ ลายนิ้วมือของเขาไม่ตรงกับที่เกิดเหตุ และไม่มีพยานเห็นเขาใกล้ศพ ตำรวจเลยส่งเขาไป โรงพยาบาลจิตเวชบริดจ์วอเตอร์ เพื่อประเมินสภาพจิตในเดือนพฤศจิกายน 2507 (1964) ที่นี่เองที่เรื่องราวพีคสุดๆ
ที่บริดจ์วอเตอร์ เดอซัลโวถูกขังร่วมกับ จอร์จ นัสซาร์ นักโทษฆาตกรที่ฉลาดและมีเสน่ห์ นัสซาร์เป็นอดีตนักเรียนดี แต่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เขากับเดอซัลโวสนิทกันไวมาก และใน มีนาคม 2508 (1965) เดอซัลโวสารภาพกับนัสซาร์ว่า เขาเป็นบอสตัน สแตรงเลอร์! นัสซาร์บอกเรื่องนี้กับ เอฟ. ลี. เบลีย์ ทนายชื่อดังที่รับคดีของเดอซัลโว เบลีย์มาสัมภาษณ์และบันทึกคำสารภาพยาว 50 ชั่วโมง เดอซัลโวเล่ารายละเอียดทั้ง 13 คดีแบบชวนขนลุก เช่น ลักษณะห้องของ แอนนา สเลเซส, การ์ด “สวัสดีปีใหม่” ข้างศพ แมรี ซัลลิแวน, หรือวิธีหลอกเหยื่อว่าเป็นช่างซ่อม ตำรวจถึงกับอึ้งเพราะบางข้อมูลไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะเลย
ความยุ่งยากและการตัดสินคดี :
หลังจากเดอซัลโวสารภาพว่าเป็น บอสตัน สแตรงเลอร์ ต่อทนาย เอฟ. ลี. เบลีย์ ที่โรงพยาบาลจิตเวชบริดจ์วอเตอร์เมื่อ มีนาคม 2508 (1965) ตำรวจและอัยการบอสตันถึงกับปวดหัว คำสารภาพของเขาละเอียดยิบจนน่าขนลุก รู้ทั้งตำแหน่งถุงน่องที่รัดคอ แอนนา สเลเซส หรือการ์ด “สวัสดีปีใหม่” ข้างศพ แมรี ซัลลิแวน แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีรอยนิ้วมือ ไม่มีพยานเห็นเขาในที่เกิดเหตุ และยุค 60s ก็ยังไม่มีเทคโนโลยีดีเอ็นเอ แถมเดอซัลโวยังให้ข้อมูลผิดในบางคดี เช่น บอกว่า โซฟี คลาร์ก อยู่ชั้นสาม แต่จริงๆ เธออยู่ชั้นหนึ่ง อัยการเลยตัดสินใจว่า ไม่ตั้งข้อหาฆาตกรรม เพราะกลัวแพ้คดีในศาล และเลือกดำเนินคดีที่มั่นใจกว่า: ข่มขืนและลักทรัพย์ จากคดี กรีนแมน และ เมเจอริ่ง แมน การพิจารณาคดีเริ่มใน มกราคม 2510 (1967) ที่ศาลมิดเดิลเซ็กซ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ต่อหน้าผู้พิพากษา คอร์นีเลียส เจ. มอยนิแฮน เบลีย์ ทนายจอมเก๋า พยายามเล่นใหญ่ เขาใช้คำสารภาพสแตรงเลอร์เพื่อโน้มน้าวว่าลูกความของเขานั้นมีปัญหาทางจิต ควรถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแทนที่จะเป็นคุก เดอซัลโวให้การว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ หมกมุ่นกับเซ็กส์ตั้งแต่เด็ก และ “เห็นภาพหลอน” ทำให้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง จิตแพทย์ที่ศาลแต่งตั้ง เช่น ดร. แฮร์รี คอซลอฟ วินิจฉัยว่าเขามี บุคลิกภาพต่อต้านสังคม และ ความผิดปกติทางเพศ แต่ยัง “มีสติสัมปชัญญะดี” ไม่ถึงขั้นวิกลจริตตามกฎหมาย อัยการโต้กลับด้วยคำให้การของเหยื่อกรีนแมนที่เล่าว่าเดอซัลโวเย็นชาและวางแผนมาดี ไม่ได้บ้าแต่อย่างใด!
คณะลูกขุน (ทั้งหมดเป็นผู้ชาย) ใช้เวลาไม่นาน ตัดสินเมื่อ 18 มกราคม 2510 (1967) ว่าเดอซัลโวมีความผิดใน 7 กระทง รวมข่มขืน 4 ครั้ง, ลักทรัพย์ และบุกรุก ศาลพิพากษาให้: จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีโอกาสขอทัณฑ์บน ถูกจำคุกที่เรือนจำ วาลโพล (Massachusetts Correctional Institution Walpole) เขาเดินออกจากศาลด้วยรอยยิ้มและแต่ตะโกนว่า “พวกนายจับคนผิดแล้ว” สร้างความงุนงงให้ทุกคน คดีสแตรงเลอร์ถูก “ปิด” อย่างไม่เป็นทางการ เพราะตำรวจเชื่อว่าได้ตัวฆาตกรแล้ว แม้ว่าจะไม่มีคำตัดสินในข้อหาฆาตกรรมก็ตาม
ชีวิตในคุกของเดอซัลโวเหมือนดาราคนดังในหมู่นักโทษ เขาเป็น “เซเลบอาชญากร” ที่ทุกคนอยากคุยด้วย เขาทำ เครื่องประดับจากไม้และโลหะ ขายให้ผู้คุมและนักโทษ แลกบุหรี่หรือเงินเล็กๆ น้อยๆ เขายังชอบเล่าเรื่องคดีสแตรงเลอร์ โม้ว่าเขาหลอกเหยื่อเก่งแค่ไหน แต่บางครั้งก็เปลี่ยนคำพูด บอกว่า “ฉันอาจไม่ได้ฆ่าทุกคน” หรือ “นัสซาร์บอกให้ฉันพูด” จอร์จ นัสซาร์ เพื่อนนักโทษที่เขาสารภาพด้วย กลายเป็นปริศนาใหญ่ นักเขียนอย่าง ซูซาน เคลลี สงสัยว่านัสซาร์ ฆาตกรฉลาดที่รู้ข้อมูลคดีจากข่าว อาจสอนเดอซัลโวให้สารภาพเพื่อผลประโยชน์ เช่น ค่าลิขสิทธิ์หนังสือหรือสื่อที่เริ่มสนใจคดีนี้
ในคุก เดอซัลโวยังมีปัญหา เขาเริ่ม ขายยา เช่น กัญชาและยานอนหลับ ให้เพื่อนนักโทษ ทำให้ผิดใจกับแก๊งมาเฟียในเรือนจำวาลโพล เขายังพยายามหลบหนีใน กุมภาพันธ์ 2510 (1967) เพียงหนึ่งเดือนหลังติดคุก เขากับนักโทษอีกสองคนตัดลูกกรงหน้าต่างและหนีไปได้สองวัน แต่ถูกจับที่เมืองลินน์ ข่าวนี้ทำให้เขาโด่งดังยิ่งขึ้น สื่อเรียกเขาว่า “นักโทษหนีภัยแห่งบอสตัน” และเขียนจดหมายถึงสื่อ อ้างว่าแค่ “อยากให้โลกรู้ความจริง” เกี่ยวกับคดีสแตรงเลอร์
การเสียชีวิตของอัลเบิร์ต เดอซัลโว :
โชคชะตาของเดอซัลโวถึงจุดจบแบบสุดช็อก ในคืนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2516 (1973) เขาถูกพบเป็นศพในโรงพยาบาลของเรือนจำวาลโพล ถูกแทง 16 แผล ที่หน้าอกและท้อง เสียชีวิตตอนตี 4 ของวันที่ 26 พฤศจิกายน วัย 42 ปี คดีนี้กลายเป็นปริศนา ไม่มีใครถูกจับ ผู้ต้องสงสัยมีตั้งแต่ นักโทษมาเฟีย ที่โกรธเรื่องยา ไปจนถึง นัสซาร์ มีบางคนเชื่อว่าอยากปิดปากเดอซัลโว เพื่อนนักโทษเล่าว่าเดอซัลโวมีนัดคุยกับนักข่าววันนั้นเพื่อ “เปิดโปงบางอย่าง” เกี่ยวกับสแตรงเลอร์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ร่างของเขาถูกส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลเลมูเอล แชนดี้ และครอบครัวจัดงานศพเงียบๆ ที่เมืองมัลเดน
คดีสแตรงเลอร์เหมือนถูกฝังไปกับเดอซัลโว แต่ปริศนายังคงลอยนวลเหมือนฝุ่นควัน เออร์มการ์ด ภรรยาของเขา และลูกๆ (จูดี้ และ ไมเคิล) ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาเป็นฆาตกร เออร์มการ์ดเล่าว่า “เขาเป็นพ่อที่ดี แค่มีด้านมืด” ภาพยนตร์ The Boston Strangler (1968) นำแสดงโดย โทนี เคอร์ติส ทำให้เดอซัลโวกลายเป็นตำนาน แม้จะไม่ถูกตัดสินว่าเป็นสแตรงเลอร์อย่างเป็นทางการ
จนกระทั่ง พ.ศ. 2556 (2013) เทคโนโลยีดีเอ็นเอก้าวหน้า ตำรวจใช้ดีเอ็นเอจากหลานชายของเดอซัลโว (ที่ทิ้งขวดน้ำไว้ที่ไซต์ก่อสร้าง) เทียบกับน้ำอสุจิในคดี แมรี ซัลลิแวน ผลคือ ตรงกัน 99.9%! นี่พิสูจน์ว่าเดอซัลโวฆ่าซัลลิแวน แต่คดีอื่นๆ ยังไม่มีดีเอ็นเอ และ เคซีย์ เชอร์แมน หลานของซัลลิแวน ยืนยันว่ามีฆาตกรคนอื่นแน่นอน เพราะวิธีฆ่าและเหยื่อหลากหลายเกินไป ซูซาน เคลลี ยังชี้ว่าคดีวัยชรา (เช่น ไอดา เออร์กา) อาจไม่ใช่ฝีมือเดอซัลโว แต่เป็นการเลียนแบบ ชีวิตของเดอซัลโวหลังจับกุมเหมือนรถไฟเหาะ จากฆาตกรที่อ้างว่าสยองที่สุดในบอสตัน สู่ชายที่ตายในเงามืดด้วยรอยมีด 16 แผล เขาคือสแตรงเลอร์ตัวจริงทั้งหมด หรือแค่ชายที่อยากให้โลกจำชื่อ !? หรือ นัสซาร์ และคนอื่นๆ ? ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่ได้คลี่คลาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น