อัลเบิร์ต ฟีช (Albert Fish) "เดอะ เกรย์ แมน" สหรัฐอเมริกา

 

Albert Fish


Albert Fish: ( The Gray Man )

    อัลเบิร์ต ฟิช เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2413 (1870) ในชื่อ แฮมิลตัน ฮาวเวิร์ด ฟิช ที่วอชิงตัน ดี.ซี. ครอบครัวของเขาคือภาพสะท้อนของความไม่มั่นคง พ่อของเขา แรนดัล ฟิช อายุ 75 ปี ตอนอัลเบิร์ตเกิดเขาทำงานเป็นกัปตันเรือและช่างทำหม้อ แต่เสียชีวิตจากโรคหัวใจในปี พ.ศ. 2418 (1875) เมื่อตอนที่อัลเบิร์ตอายุ 5 ขวบ แม่ของเขา เอลเลน ฟิช วัย 32 ปี ต้องเลี้ยงลูกสี่คนเพียงลำพังในภาวะยากจนข้นแค้น ครอบครัวฟิชมีประวัติป่วยทางจิตอย่างหนัก ลุงของอัลเบิร์ตเป็นโรคจิตเภท พี่สาวมีอาการทางจิต และญาติสนิทหลายคนป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังหรือเสียสติ ความโชคร้ายนี้เหมือนคำสาปที่ติดตามอัลเบิร์ตไปตลอดชีวิต

เมื่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ อัลเบิร์ตถูกส่งไปยัง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเซนต์จอห์น ในวอชิงตัน ดี.ซี. ในวัย 5 ขวบ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่พักพิง แต่เป็นเหมือนคุกสำหรับเด็ก ครูและผู้ดูแลใช้การลงโทษรุนแรง เด็กๆ ถูกตีด้วยเข็มขัด ไม้พาย หรือแส้เป็นประจำ อัลเบิร์ตมักถูกเพื่อนกลั่นแกล้งเพราะชื่อ “แฮมิลตัน” ที่ถูกล้อว่า “แฮมแอนด์เอ้กส์” เขาเริ่มแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ปัสสาวะรดที่นอน และหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็ก ที่นี่เขาเริ่มรู้สึก “ชอบ” ความเจ็บปวดจากการถูกตี ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความหมกมุ่นทางเพศที่ผิดปกติ เขายังได้ยินเรื่องเล่าจากเด็กโตเกี่ยวกับการทรมานสัตว์ เช่น การเผาม้าหรือตัดหางสุนัข ซึ่งฝังลึกในจิตใจ

ใน พ.ศ. 2422 (1879) เมื่ออายุ 9 ขวบ แม่ของเขามีงานทำและพาตัวเขากลับมาอยู่ด้วยที่นิวยอร์ก แต่บาดแผลในใจจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่เคยจางหายไป อัลเบิร์ตเริ่มมีนิสัยขี้โขมยและใช้เวลาส่วนใหญ่เดินเตร่ตามถนน เขาเงียบขรึมและเก็บตัว ไม่มีเพื่อนฝูงหรือเพื่อนสนิท และมักถูกพี่น้องล้อเลียน บูลลี่อยู่เสมอ เขาเรียนหนังสือได้เพียงระดับประถมและออกจากโรงเรียนในวัย 12 ปี (พ.ศ. 2425/1882) เพื่อทำงานเป็นเด็กส่งของและช่วยงานก่อสร้าง ช่วงนี้เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กผู้ชายในละแวกบ้าน ซึ่งเขาเล่าว่ามักเป็นการ “บังคับ” และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ

เมื่ออายุ 15 ปี (พ.ศ. 2428/1885) อัลเบิร์ตย้ายไปนิวยอร์กอย่างถาวรและเปลี่ยนชื่อเป็น อัลเบิร์ต เพื่อหนีการถูกล้อ เขาทำงานเป็นช่างทาสีซึ่งเป็นอาชีพที่เขาใช้ไปตลอดชีวิตงานนี้ทำให้เขาเดินทางไปทั่วเมืองและได้พบผู้คนมากมาย ภายนอก เขาดูเป็นชายหนุ่มขยัน ผอมบาง ผมสีน้ำตาล และมีดวงตาที่ดูเศร้า แต่ภายใน เขาเริ่มหมกมุ่นเกี่ยวกับศาสนาและความเจ็บปวด เขาอ่านพระคัมภีร์อย่างจริงจังและเชื่อว่า “การลงโทษตัวเอง” เป็นการชำระบาปอย่างหนึ่ง โดยที่เริ่มจากการตีตัวด้วยเข็มขัด ต่อมาใช้ไม้ตีตัวจนเลือดออก และในที่สุดเริ่มฝังเข็มเย็บผ้าในร่างกาย

อัลเบิร์ต ฟีช วัย 19 ปี

ใน พ.ศ. 2441 (1898) อายุ 28 ปี อัลเบิร์ตแต่งงานกับ แอนนา แมรี โฮฟแมน หญิงสาวที่ถูกพ่อแม่จัดหาให้ เขามีลูกด้วยกันถึงหกคน: อัลเบิร์ต, แอนนซี่, เจอร์ทรูด, ยูจีน, จอห์น และเฮนรี ครอบครัวอาศัยในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในนิวยอร์ก เขาทำงานหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัว และดูเหมือนเป็นพ่อที่รักลูก เพื่อนบ้านมองว่าเขาเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน และชอบเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง แต่แอนนาเริ่มสังเกตพฤติกรรมแปลกๆ เช่น การตีตัวเองในห้องน้ำ หรือการพูดถึง “การเสียสละ” ในแบบที่ฟังแล้วขนลุก

การก่ออาญชกรรมของอัลเบิร์ต ฟิช :

อัลเบิร์ต ฟิช ได้พบกับ โทมัส เบดเดน ชายหนุ่มวัย 19 ปี ข้อมูลเกี่ยวกับเบดเดนมีจำกัดและส่วนใหญ่มาจากคำสารภาพของฟิช ซึ่งอาจไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด ตามคำบอกเล่าของฟิช เบดเดนมี ความบกพร่องทางสติปัญญา ซึ่งทำให้เขาเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ ฟิชมักเลือกเหยื่อที่เขาคิดว่าไม่มีใครสนใจ เช่น เด็กยากจน เด็กกำพร้า หรือผู้ที่มีความบกพร่อง เพื่อลดโอกาสที่ตำรวจจะสืบสวนอย่างจริงจัง ไม่มีบันทึกชัดเจนว่าเบดเดนทำงานอะไร แต่บางแหล่ง เช่น History Defined อ้างว่าเขาอาจเป็นช่างทาสีเหมือนฟิช หรือเป็นคนเร่ร่อนที่เดินทางด้วยรถไฟ ข้อมูลอื่นๆ เช่น บ้านเกิด ครอบครัว หรือชีวิตก่อนหน้าของเบดเดน ยังคงเป็นปริศนา เนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยัน และตำรวจในสมัยนั้นไม่ได้เก็บข้อมูลเหยื่ออย่างละเอียด

ทั้งสองเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ฟิชบรรยายว่าเป็นแบบ ซาโดมาโซคิสม์ (sadomasochistic) แต่ไม่ชัดเจนว่าเบดเดนยินยอมอย่างแท้จริงหรือไม่ คำสารภาพของฟิชบ่งชี้ว่าเบดเดนอาจไม่สามารถให้ความยินยอมได้เต็มที่ เนื่องจากความบกพร่องทางสติปัญญา ความสัมพันธ์นี้กินเวลาเพียง 10 วัน ก่อนที่ฟิชจะยกระดับความรุนแรง เขาพาเบดเดนไปยัง “บ้านไร่ร้าง” ในวิลมิงตัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาใช้ในการทรมานเหยื่อ ฟิชเล่าว่าเขาผูกเบดเดนไว้และทรมานเป็นเวลา สองสัปดาห์โดยจุดพีคของความโหดร้ายของเรื่องนี้คือการตัดอวัยวะเพศของเบดเดนออกไปครึ่งหนึ่ง-ฟิชเล่าถึงเหตุการณ์นี้ในภายหลังว่า “ฉันจะไม่มีวันลืมเสียงกรีดร้องของเขา หรือสายตาที่เขามองฉัน” คำพูดนี้สะท้อนถึงความพึงพอใจที่เขามีต่อความเจ็บปวดของเหยื่อ เดิมทีฟิชวางแผนจะฆ่าเบดเดน หั่นศพ และนำชิ้นส่วนกลับบ้าน แต่เขาเปลี่ยนใจเพราะกลัวว่าอากาศร้อนในฤดูร้อนจะทำให้ศพเน่าและดึงดูดความสนใจ แทนที่จะฆ่า ฟิชทำสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า เขาเทน้ำยาฆ่าเชื้อ (เปอร์ออกไซด์) บนบาดแผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ทาด้วยวาสลีน ทิ้งเงิน 10 ดอลลาร์ จูบลาเบดเดน แล้วขึ้นรถไฟกลับนิวยอร์กทันที เขากล่าวว่า “ฉันไม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาและไม่พยายามหาคำตอบด้วย” เหตุการณ์นี้แสดงถึงความเยือกเย็นและจิตใต้สำนึกของเขาไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิด หลังจากเหตุการณ์กับโทมัส เบดเดนในวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ เมื่อ พ.ศ. 2453 (1910) อัลเบิร์ต ฟิช กลับมานิวยอร์กเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทิ้งชายหนุ่มวัย 19 ปีไว้ในสภาพที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นหรือตาย และใช้ชีวิตต่อราวกับความโหดร้ายที่เพิ่งก่อเป็นเพียงฝันร้ายที่ถูกลืม ในวัย 40 ปี ฟิชยังคงเป็นช่างทาสีที่เดินทางไปมาระหว่างเมืองต่างๆ อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ กับลูกทั้งหก อัลเบิร์ต แอนนี่ เจอร์ทรูด ยูจีน จอห์น และเฮนรี ภรรยาของเขา แอนนา แมรี โฮฟแมน ทิ้งเขาไปเมื่อ พ.ศ. 2462 (1919) ทำให้เขาต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แต่ชีวิตครอบครัวที่ดูเหมือนปกติภายนอกซ่อนความวิปริตที่กำลังผลิบานในใจของเขา ในช่วงนี้ ฟิชเริ่มลงลึกในพฤติกรรมที่ชั่วร้ายยิ่งขึ้น

เขายังคงล่วงละเมิดเด็ก โดยเฉพาะเด็กชายยากจนหรือเด็กผิวดำในย่านที่ตำรวจไม่ค่อยสนใจ เขาใช้เสน่ห์ของชายวัยกลางคนที่ดูสุภาพ อ่อนโยน และไว้หนวดหงอกเพื่อหลอกล่อเหยื่อ มักให้ขนม เงิน หรือสัญญาว่าจะพาไปงานเลี้ยง ความหมกมุ่นในศาสนาของเขายิ่งบิดเบี้ยว เขาอ่านพระคัมภีร์ทุกวันและเชื่อว่าการทำร้ายผู้อื่นเป็น “การเสียสละ” เพื่อชำระบาป เขายังคงทำร้ายตัวเอง ตีด้วยเข็มขัดหนาม ฝังเข็มเย็บผ้าในเชิงกราน และเริ่มกินของแปลก เช่น อุจจาระหรือปัสสาวะ ซึ่งเขามองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษตัวเอง

จุดเปลี่ยนของอัลเบิร์ต ฟีช :

ใน พ.ศ. 2467 (1924) เมื่อฟิชลงมือฆ่าครั้งแรกที่ยืนยันได้ ฟรานซิส แมคดอนเนลล์ เด็กชายวัย 8 ปีจากสเตเทน ไอส์แลนด์ หายตัวไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ขณะเล่นนอกบ้าน แม่ของเขา แอนนา แมคดอนเนลล์ เห็นชายชราผมเทาเดินพูดพึมพำใกล้ที่เกิดเหตุ เธอเรียกเขาว่า “เดอะ เกรย์ แมน” ซึ่งกลายเป็นฉายาที่ติดปาก ต่อมา ศพของฟรานซิสถูกพบในป่า ถูกข่มขืน ตี และแขวนคอด้วยสายรัดกางเกง ตำรวจสงสัยคนเร่ร่อนและสอบปากคำชายชราหลายคนในพื้นที่ รวมถึงฟิชที่อาศัยอยู่ไม่ไกล แต่เขาไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก คดีนี้กลายเป็นปริศนา และฟิชรอดพ้นไปได้ สามปีต่อมาใน พ.ศ. 2470 (1927) ฟิชก่อคดีที่โหดร้ายยิ่งขึ้น บิลลี่ แกฟฟนีย์ เด็กชายวัย 4 ปีจากบรุกคลิน หายตัวไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ขณะเล่นกับเพื่อน เพื่อนวัย 3 ขวบเล่าว่าเห็นชายชราพาเด็กชายขึ้นรถราง โจเซฟ มีแฮน คนขับรถราง จำได้ว่าเห็นชายชราดวงตาประหลาดกับเด็กที่ร้องไห้ แต่ไม่มีใครตามทัน ศพของบิลลี่ไม่เคยถูกพบ แต่ฟิชสารภาพในภายหลังว่าเขาข่มขืน ฆ่า และกินเด็กชาย โดยเล่ารายละเอียดว่าเขานำร่างไปที่โรงอาบน้ำร้าง หั่นชิ้นส่วน และปรุงเป็น “สตู” ที่เขากินนานหลายวัน คำสารภาพนี้แม้จะน่าสยดสยอง แต่ตำรวจไม่พบหลักฐานยืนยัน ทำให้บางคนสงสัยว่าเขาอาจแต่งเรื่องเพื่อข่มขู่

คดีฟรานซิส แมคดอนเนลล์ (2467/1924)

การสืบสวนคดีแรกเริ่มเมื่อ 11 กรกฎาคม 2467 (1924) เมื่อ ฟรานซิส แมคดอนเนลล์ เด็กชายวัย 8 ขวบ จากสเตเทน ไอส์แลนด์ หายตัวไปขณะเล่นนอกบ้าน แม่ของเขา แอนนา แมคดอนเนลล์ ให้การว่าเห็นชายชราผมเทา เดินพูดพึมพำและทำท่าทางแปลกๆ ใกล้ที่เกิดเหตุ เธอตั้งฉายาให้ว่า “เดอะ เกรย์ แมน” สองวันต่อมา ศพของฟรานซิสถูกพบในป่าหลังบ้านของครอบครัว ถูกข่มขืน ตีด้วยของแข็ง และแขวนคอด้วยสายรัดกางเกง ร่างกายมีรอยฟกช้ำและบาดแผลจากการต่อสู้ ตำรวจสเตเทน ไอส์แลนด์ นำโดย สารวัตรจอห์น สไตน์ เริ่มสืบสวนทันที พวกเขาสอบปากคำเพื่อนบ้านและคนในละแวกนั้น รวมถึงชายชราที่มีประวัติอาชญากรรม อัลเบิร์ต ฟิช ซึ่งอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใกล้เคียงและทำงานเป็นช่างทาสี ถูกสอบปากคำ แต่เขาให้การว่าไม่อยู่ในพื้นที่วันเกิดเหตุ และไม่มีหลักฐานเชื่อมโยง ตำรวจเก็บรอยนิ้วมือและเส้นผมจากที่เกิดเหตุ แต่ในยุค 1920s เทคโนโลยีนิติวิทยาศาสตร์ยังจำกัด การวิเคราะห์รอยนิ้วมือไม่พบผู้ต้องสงสัยที่ตรงกัน และเส้นผมไม่สามารถระบุตัวตนได้ พยานหลายคนให้การขัดแย้งกัน บางคนบอกว่าเห็นชายชราผอมบางผมเทา บางคนบอกว่าเห็นคนเร่ร่อน ตำรวจตั้งสมมติฐานว่าคนร้ายอาจเป็นคนจรจัดที่ผ่านมา พวกเขาตรวจค้นแคมป์คนเร่ร่อนและสถานีรถไฟในสเตเทน ไอส์แลนด์ แต่ไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ความสนใจของสาธารณชนค่อยๆ จางลง และคดีนี้กลายเป็นคดีเย็น ฟิชรอดพ้นจากการสงสัยและดำเนินชีวิตต่อไป

คดีบิลลี่ แกฟฟนีย์ (2470/1927)

คดีที่สองเกิดเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2470 (1927) เมื่อ บิลลี่ แกฟฟนีย์ เด็กชายวัย 4 ปีจากบรุกคลิน หายตัวไปขณะเล่นหน้าอพาร์ตเมนต์กับเพื่อนวัย 3 ขวบ เพื่อนของบิลลี่ให้การว่าเห็นชายชราพาเขาไปที่รถราง โจเซฟ มีแฮน คนขับรถราง ยืนยันว่าเห็นชายชราดวงตาประหลาดกับเด็กชายที่ร้องไห้บนรถรางสายบรุกคลิน-แมนฮัตตัน แต่เมื่อรถถึงปลายทาง เด็กและชายชราหายไปแล้ว ตำรวจบรุกคลิน นำโดย สารวัตรเจมส์ โอนีล เริ่มการค้นหาทันที พวกเขาตรวจสอบสถานีรถรางและสอบปากคำพยานในย่านนั้น คำให้การของเด็กวัย 3 ขวบไม่ชัดเจนและขาดรายละเอียด ส่วนโจเซฟ มีแฮนจำลักษณะชายชราได้เพียงว่า ผอม สูงประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว และมีหนวดหงอก ตำรวจค้นหาตามโรงอาบน้ำสาธารณะและที่พักคนงานในบรุกคลิน เนื่องจากสงสัยว่าคนร้ายอาจเป็นคนงานชั่วคราว แต่ไม่พบผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับคำบรรยาย การสืบสวนคดีบิลลี่เผชิญปัญหาใหญ่ เพราะไม่มีศพหรือร่องรอยการลักพาตัว ตำรวจตั้งสมมติฐานว่าเด็กอาจถูกพาตัวไปเมืองอื่นหรือจมน้ำในคลองใกล้เคียง พวกเขางมในคลอง owanus แต่ไม่พบอะไร สื่อในนิวยอร์กให้ความสนใจคดีนี้เพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากบิลลี่มาจากครอบครัวยากจน และในยุคนั้นคดีเด็กหายจากย่านแรงงานมักไม่ได้รับความสำคัญเท่าคดีในย่านร่ำรวย คดีนี้กลายเป็นคดีเย็นอีกคดี โดยไม่มีใครเชื่อมโยงกับคดีฟรานซิส แมคดอนเนลล์

คดีเกรซ บัดด์ (2471/1928)

คดีที่กำหนดชะตาของฟิชเริ่มขึ้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2471 (1928) เกรซ บัดดาน เด็กหญิงวัย 10 ปีจากแมนฮัตตัน หายตัวไป ฟิชใช้ชื่อปลอมว่า แฟรงค์ ฮาวเวิร์ด เข้าไปที่บ้านของครอบครัวบัดดานในย่าน เวสต์ 15th Street โดยอ้างว่าจะจ้าง เอ็ดเวิร์ด พี่ชายของเกรซทำงานที่ฟาร์มในลองไอส์แลนด์ ครอบครัวบัดดานเป็นครอบครัวแรงงานยากจน ดีเลียและอัลเบิร์ต บัดดาน พ่อแม่ของเกรซ ต้อนรับชายชราผู้นี้ด้วยความหวัง ฟิชแต่งตัวเรียบร้อย ผมหงอก และพูดจานุ่มนวล ทำให้ไม่มีใครสงสัย เขานั่งคุยและกินอาหารกลางวันกับครอบครัว โดยบอกว่าเป็นพ่อม่ายที่มีฟาร์มเล็กๆ

เมื่อเห็นเกรซในชุดสีขาวและหมวกเทา ฟิชเปลี่ยนเป้าหมาย เขาบอกครอบครัวว่าได้รับเชิญไปงานวันเกิดหลานสาวที่เวิร์สเตอร์ นิวยอร์ก และอยากพาเกรซไปด้วย ดีเลียลังเลแต่สุดท้ายยอมให้ลูกสาวไป เนื่องจากฟิชสัญญาจะพากลับมาในเย็นวันนั้น เกรซจับมือฟิชออกจากบ้านเวลา 13:00 น. และไม่เคยกลับมา ฟิชพาเธอไปบ้านร้างที่เวิร์สเตอร์ ข่มขืน รัดคอ หั่นศพ และกินเนื้อเธอในเวลา 9 วัน

รูปซ้าย :  ภาพถ่ายบัดด์ในปี 1928 รูปขวา ถ่ายกับแม่และพี่น้องของเธอ

เมื่อเกรซไม่กลับบ้านในคืนนั้น ครอบครัวบัดดานแจ้งตำรวจแมนฮัตตัน นักสืบวิลเลียม คิง จากกองคนหายได้รับมอบหมายให้สืบคดี เขาเริ่มจากการสอบปากคำครอบครัว ดีเลียและอัลเบิร์ตให้การว่า “แฟรงค์ ฮาวเวิร์ด” อายุประมาณ 60 ปี ผมหงอก สูงประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว และมีสำเนียงนิวยอร์ก เอ็ดเวิร์ดจำได้ว่าเขาพูดถึงฟาร์มในลองไอส์แลนด์และงานวันเกิดที่โคลัมบัส อเวนิว ตำรวจตรวจสอบที่อยู่ที่ฟิชให้ไว้ (137th Street และ Columbus Avenue) แต่พบว่าเป็นที่อยู่ปลอม ไม่มีฟาร์มหรืองานวันเกิดใดๆ

คิงและทีมของเขาค้นหาเกรซตามสถานีรถไฟ สถานีรถราง และท่าเรือในแมนฮัตตัน โดยสงสัยว่าเธออาจถูกลักพาตัวไปเมืองอื่น พวกเขาตรวจสอบโรงแรมและที่พักคนงานในย่านนั้น แต่ไม่พบร่องรอย พยานในละแวกบ้านบัดดานบอกว่าเห็นเด็กหญิงในชุดขาวเดินกับชายชราใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน แต่ไม่มีใครรู้จุดหมายปลายทางของพวกเขาตำรวจออกใบปลิวพร้อมภาพวาดของเกรซและคำบรรยายของ “แฟรงค์ ฮาวเวิร์ด” ส่งไปยังสถานีตำรวจทั่วประเทศ สื่อนิวยอร์ก เช่น New York Times และ New York Daily News รายงานคดีนี้อย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้ปกครอง.คิงเริ่มสงสัยว่านี่อาจไม่ใช่การลักพาตัวธรรมดาเขาตรวจสอบคดีเด็กหายในนิวยอร์กและพบความคล้ายคลึงกับคดีฟรานซิส แมคดอนเนลล์และบิลลี่ แกฟฟนีย์ เนื่องจากทั้งสามคดีมีชายชราผมเทาเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงที่ชัดเจน เขาขอความช่วยเหลือจาก ดร. ชาร์ลส นอร์ริส ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์คดีฟรานซิสแต่รอยนิ้วมือและเส้นผมจากคดีนั้นไม่ช่วยระบุตัวคนร้าย-ตำรวจยังสอบปากคำชายที่มีประวัติอาชญากรรมทางเพศในแมนฮัตตัน รวมถึงฟิชที่เคยถูกจับในข้อหาขโมยและฉ้อโกง แต่เขามีข้ออ้างที่แน่นหนาและรอดพ้นไป

ใน พ.ศ. 2473 (1930) คดีเกรซยังไม่คืบหน้า แต่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฟิชเกือบถูกจับ ลูกสาวของเขา แอนนี่ แจ้งตำรวจว่าพ่อมีพฤติกรรมแปลก เช่น กินอุจจาระและตีตัวเอง ฟิชถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวช เบลล์วิว เพื่อประเมินสภาพจิต ดร. เมนาส เกรกอรี จิตแพทย์ วินิจฉัยว่าเขามี “ความผิดปกติทางเพศ” แต่ไม่เป็นอันตรายต่อสังคม เขาถูกปล่อยตัวหลังจาก 30 วัน คิงไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะข้อมูลจากเบลล์วิวไม่ถูกแชร์กับกองคนหาย

จดหมายนิรนาม (2477/1934)

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 1934 จดหมายนิรนามที่ส่งถึงพ่อแม่ของเกรซในที่สุดก็นําตํารวจไปหาฟิช แม่ของบัดด์ไม่รู้หนังสือและไม่สามารถอ่านจดหมายได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงให้ลูกชายของเธออ่านให้เธอฟัง ในจดหมายมีใจความดังนี้

เรียนคุณนายบัดด์ที่รักของฉัน...

พ.ศ. 1894 ปีแห่งความวิปลาส หนึ่งสหายข้าพเจ้าได้ส่งตัวชายชื่อ จอห์น เดวิส ขึ้นประจำตำแหน่งต้นหนบนเรือกลไฟนาม "ทาโคมา" การเดินทางอันแสนยาวนานจากซานฟรานซิสโกสู่ฮ่องกง ดินแดนแห่งมังกรและปริศนา เมื่อเท้าแตะฝั่ง จอห์นพร้อมสหายอีกสองนายก็หลงระเริงในสุราเมรัย จนกระทั่งรุ่งสาง...เรือทาโคมาก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

ณ ดินแดนอันห่างไกลแห่งนั้น ความอดอยากคืบคลานเข้าปกคลุมจีนแผ่นดินใหญ่ เนื้อสัตว์ทุกชนิดมีราคาสูงลิ่วถึงปอนด์ละ 1-3 ดอลลาร์ ความทุกข์ระทมกัดกินจิตใจผู้คนจนน่าเวทนา เสียงร่ำไห้ของเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีดังก้องไปทั่ว ราวกับเสียงสวดส่งวิญญาณ...พวกเขาถูกขายเป็นอาหารเพื่อยับยั้งความอดอยากของผู้ที่เหลือ เด็กชายหรือเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 14 ปี ไม่มีใครปลอดภัยบนถนนหนทาง ร้านค้าทุกแห่งประดับประดาด้วย "เมนูพิสดาร" หากท่านเดินเข้าไปแล้วเอ่ยปากขอ "สเต๊ก" "สับ" หรือ "เนื้อตุ๋น" พลันชิ้นเนื้อเปลือยเปล่าของเด็กชายหรือเด็กหญิงก็จะถูกนำมาวางตรงหน้า ท่านเลือกส่วนใดก็ได้ตามใจปรารถนา และส่วนที่หอมหวานที่สุด...ส่วนสะโพกของเด็กชายหรือเด็กหญิง...ถูกหวงแหนราวกับสมบัติล้ำค่า มันถูกขายเป็น "เนื้อลูกวัวทอด" และมีราคาสูงที่สุด

จอห์น เดวิส ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิปริตนั้นนานจนกระทั่ง...เขาได้ลิ้มรสเนื้อหนังมังสาของมนุษย์! เมื่อเขากลับมายังนิวยอร์ก อดีตต้นหนเรือผู้โชกโชนก็ได้ลักพาตัวเด็กชายสองคน คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคน 11 ขวบ พาพวกเขากลับไปยังรังลับของตน จับเปลือยเปล่า มัดไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เผาทำลายข้าวของทุกชิ้นของเด็กน้อย บังเกิดภาพอันน่าสะพรึงกลัว! เขาตบตีทรมานเด็กน้อยวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เพื่อให้เนื้อหนังของพวกเขานุ่มนวลน่าลิ้มลอง...

คนแรกที่สังเวยชีวิตคือเด็กชายวัย 11 ขวบ ด้วยเหตุผลอันน่าคลื่นไส้...เขามีสะโพกที่อวบอิ่มที่สุด และแน่นอนว่ามีเนื้อมากที่สุด! ทุกส่วนของร่างกายเขาถูกนำมาปรุงสุกและบริโภคจนหมดสิ้น เว้นแต่ศีรษะ กระดูก และเครื่องใน เขาถูกอบในเตา (ทั้งสะโพกนั่นแหละ) ถูกต้ม ถูกย่าง ถูกทอด และถูกตุ๋น! ไม่นานนัก เด็กชายตัวน้อยอีกคนก็ก้าวไปสู่ชะตากรรมเดียวกัน ณ ขณะนั้น ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่ 409 100th Street ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ จอห์นบอกข้าพเจ้าบ่อยครั้งว่า...เนื้อมนุษย์นั้นวิเศษเพียงใด...

ในวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 1928 ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมท่าน ณ บ้านเลขที่ 406 W 15th Street นำชีส สตรอเบอร์รี่ไปฝาก พวกเราต่างเพลิดเพลินกับอาหารกลางวัน เกรซ เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสานั่งบนตักข้าพเจ้าและมอบจุมพิตให้...พลันความคิดชั่วร้ายก็บังเกิด...ข้าพเจ้าตัดสินใจที่จะ...กินเธอ!

ข้าพเจ้าออกอุบายว่ากำลังจะพาเธอไปงานเลี้ยง ท่านตอบตกลง เกรซสามารถไปได้ ข้าพเจ้าพาเธอไปยังบ้านร้างในเวสต์เชสเตอร์ที่ข้าพเจ้าเลือกไว้แล้ว เมื่อเราไปถึงที่นั่น ข้าพเจ้าบอกให้เธอเล่นอยู่ข้างนอก เธอเก็บดอกไม้ป่าอย่างเพลิดเพลิน ส่วนข้าพเจ้าขึ้นไปชั้นบนและถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้ดีว่า หากไม่ทำเช่นนั้น...เลือดของเธอจะแปดเปื้อนเสื้อผ้าของข้าพเจ้า...

เมื่อทุกอย่างพร้อม ข้าพเจ้าก็เดินไปที่หน้าต่างและเรียกเธอ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าจนกระทั่งเธอเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเธอเห็นข้าพเจ้าเปลือยเปล่า เธอก็เริ่มร้องไห้และพยายามวิ่งลงบันได ข้าพเจ้าคว้าเธอไว้แน่น และเธอก็ร้องออกมาว่าเธอจะไปบอกแม่ของเธอ!

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าเปลือยกายเธอ เธอเตะ กัด และข่วนอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าบีบคอเธอจนตาย! จากนั้นก็สับเธอเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพื่อที่ข้าพเจ้าจะสามารถนำเนื้อไปที่ห้องของข้าพเจ้า ปรุงและกินมัน สะโพกน้อยๆ ของเธอ...อบในเตาอบ...หอมหวานและนุ่มละมุนเพียงใด ข้าพเจ้าใช้เวลา 9 วันในการกินร่างกายของเธอทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่ได้ร่วมประเวณีกับเธอเท่าที่ข้าพเจ้าต้องการ เธอตายในฐานะหญิงพรหมจารีย์

การสอบสวนหลังจับกุม :

ครอบครัวได้นำจดหมายไปให้ นักสืบวิลเลียม คิง ทันที คิงตระหนักว่านี่เป็นเบาะแสแรกในรอบ 6 ปี เขาวิเคราะห์จดหมายและพบตราสัญลักษณ์ N.Y.P.C.B.A. ซึ่งนำไปสู่การติดต่อสมาคมคนขับรถส่วนตัว สมาคมยืนยันว่ากระดาษนี้ถูกแจกให้สมาชิกของสมาคม คิงตรวจสอบจดหมายและติดต่อสมาคมคนขับรถส่วนตัว ซึ่งยืนยันว่ากระดาษนี้ถูกแจกให้สมาชิกใน พ.ศ. 2476 (1933) เขาตามรอยไปยังหอพักที่ถนน 52 ตะวันออก ยานนิก อเล็กซานเดอร์ คนเฝ้าอาคาร ระบุว่าฟิชเคยเช่าห้อง 200 และใช้กระดาษนี้ก่อนย้ายไปถนน 200 ตะวันออก คิงจัดทีมเฝ้าที่หอพัก โดยให้ยานนิกแจ้งเมื่อฟิชกลับมา ใน 13 ธันวาคม 2477 (1934) ฟิชปรากฏตัว คิงและนักสืบอีกสองนายจับกุมเขา ฟิชพยายามต่อสู้ด้วยมีดโกน แต่ถูกควบคุมตัวได้ ที่สถานีตำรวจแมนฮัตตัน ฟิชสารภาพทันทีว่าเขียนจดหมายและฆ่าเกรซ เขาเล่ารายละเอียดที่ตรงกับจดหมาย เช่น การปรุงเนื้อด้วยแครอทและหัวหอม และพานักสืบไปบ้านร้างในเวิร์สเตอร์ ซึ่งพบกระดูกของเกรซในสวนหลังบ้าน ซากเตาอบ และเศษผ้าจากชุดของเธอ ฟิชยังสารภาพถึงคดี ฟรานซิส แมคดอนเนลล์ และ บิลลี่ แกฟฟนีย์ โดยอ้างว่าเขากินบิลลี่ที่โรงอาบน้ำร้างในบรุกคลิน แต่ตำรวจไม่พบศพของบิลลี่ จึงยืนยันได้เพียงสองคดี คิงตรวจสอบประวัติของฟิช พบว่าเขาถูกจับ 6 ครั้งในข้อหาขโมย ฉ้อโกง และส่งจดหมายลามกตั้งแต่ พ.ศ. 2458 (1915) แต่ไม่เคยถูกสงสัยในคดีฆาตกรรม ทีมสืบสวนส่งฟิชไปตรวจที่โรงพยาบาลเบลล์วิว เอ็กซ์เรย์เผยเข็มเย็บผ้า 29 เล่มในเชิงกราน ซึ่งยืนยันพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ดร. เฟรเดอริก เวอร์แธม จิตแพทย์ ระบุว่า มีอาการของจิตเภทและความผิดปกติทางเพศ แต่สามารถวางแผนได้อย่างรอบคอบ ฟิชถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา (first-degree murder) ซึ่งในรัฐนิวยอร์กสมัยนั้นมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า การสืบสวนหลังจับกุมเผยพฤติกรรมวิปริตของเขา เช่น การฝังเข็มเย็บผ้า 29 เล่มในเชิงกราน การกินอุจจาระ และความหมกมุ่นในการกินเนื้อคนและศาสนา สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่าเขาวิกลจริตหรือเป็นอาชญากรที่วางแผนอย่างรอบคอบ ซึ่งกลายเป็นประเด็นหลักในศาล

การพิจารณคดี :

การพิจารณาคดีเริ่มเมื่อ 11 มีนาคม 2478 (1935) ที่ศาลเวสต์เชสเตอร์ เคาน์ตี รัฐนิวยอร์ก ภายใต้การกำกับของ ผู้พิพากษาเฟรเดอริก คลอส คดีนี้ดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนอย่างมาก หนังสือพิมพ์ เช่น New York Times และ New York Daily News รายงานทุกวัน สร้างภาพฟิชเป็น “ปีศาจในคราบชายชรา” ผู้คนแออัดในห้องพิจารณาคดีเพื่อเห็นฆาตกรที่ถูกเรียกว่า แวมไพร์บรุกคลิน หรือ มนุษย์หมาป่าแห่งวิสทีเรีย

แฟรงก์ คอยน์ อัยการฝ่ายโจกย์เขตเวสต์เชสเตอร์ นำคดีโดยเน้นว่าฟิชเป็นฆาตกรที่วางแผนอย่างรอบคอบและสมควรได้รับโทษประหาร คอยน์เรียก ดร. ชาร์ลส แลมเบิร์ต จิตแพทย์ของรัฐ ให้การว่า ฟิชมี “บุคลิกภาพผิดปกติ” แต่ไม่ถึงขั้นวิกลจริตตามนิยามกฎหมาย (M’Naghten Rule) ซึ่งกำหนดว่าผู้กระทำผิดต้องไม่รู้ว่าการกระทำนั้นผิดหรือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แลมเบิร์ตระบุว่าฟิชรู้ว่าการฆ่าเกรซผิดกฎหมาย และเลือกทำเพราะความพึงพอใจส่วนตัว

เจมส์ เดมป์ซีย์ ทนายฝ่ายจำเลย ใช้กลยุทธ์ป้องกันโดยอ้างว่า ฟีช มีอาการวิกลจริต (insanity defense) และไม่ควรรับผิดทางอาญา แนวทางของเดมป์ซีย์รวมถึง เดมป์ซีย์โต้ว่าฟิชไม่สามารถควบคุมแรงกระตุ้นได้ และการกระทำของเขาเป็นผลจากจิตใจที่ป่วย ไม่ใช่การตัดสินใจที่มีสติ เขาขอให้คณะลูกขุนตัดสินว่า “ไม่มีความผิดโดยเหตุวิกลจริต” ซึ่งจะนำไปสู่การส่งฟิชไปโรงพยาบาลจิตเวชแทนการประหาร แต่ ฟิชเองมีพฤติกรรมแปลกในศาล เขานั่งเงียบ มักยิ้มเมื่อมีการพูดถึงการฆ่า และบางครั้งพูดพึมพำเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ซึ่งเดมป์ซีย์ใช้สนับสนุนข้ออ้างวิกลจริต แต่คอยน์มองว่านี่เป็นการแสดงเพื่อหลอกศาล

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2478 (1935) คณะลูกขุน ซึ่งประกอบด้วยชาย 12 คน ใช้เวลาไตร่ตรองเพียง ไม่กี่ชั่วโมง ก่อนตัดสินว่า อัลเบิร์ต ฟิชมีความผิดในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา (guilty of first-degree murder) ในการฆ่าเกรซ บัดด์ คณะลูกขุนปฏิเสธข้ออ้างวิกลจริต โดยเห็นพ้องกับฝ่ายโจทก์ว่าฟิชรู้ว่าการกระทำของเขาผิดและวางแผนอย่างรอบคอบ ผู้พิพากษาคลอส ตัดสินให้ฟิชรับโทษประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าที่เรือนจำ ซิง ซิง ในเมืองออสซินิง รัฐนิวยอร์ก หลังการตัดสิน ฟิชถูกควบคุมตัวที่เรือนจำซิง ซิง เขายังคงแสดงพฤติกรรมแปลก เช่น การเขียนบันทึกเกี่ยวกับการฆ่าและการส่งจดหมายถึงทนายเพื่อเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม เดมป์ซีย์ยื่นอุทธรณ์โดยอ้างว่าคณะลูกขุนมีอคติจากสื่อและคำให้การของเวอร์แธมถูกตีความผิด แต่ศาลสูงของรัฐนิวยอร์กยืนยันคำตัดสินใน พ.ศ. 2478 (1935)

การประหารชีวิต :

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2479 (1936) อัลเบิร์ต ฟิช ถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าที่เรือนจำซิง ซิง เขาเดินไปที่เก้าอี้ด้วยท่าทางสงบ และมีรายงานว่าเขากล่าวว่า “มันจะเป็นความตื่นเต้นสูงสุดที่ผมไม่เคยลอง” มีข่าวลือว่าการประหารล่าช้าเพราะเข็มในเชิงกรานทำให้ไฟฟ้าช็อตวงจร แต่ เจมส์ คอนรอย ผู้คุมเรือนจำ ปฏิเสธข่าวนี้ โดยระบุว่าการประหารสำเร็จในเวลาไม่ถึง 2 นาที ศพของฟิชถูกชันสูตรและฝังในสุสานของเรือนจำโดยไม่มีพิธีใดๆทั้งสิ้นเป็นอันจบตำนานอันเลวร้ายของเขาในวัย 65 ปี

คดีของฟิชยังคงเป็นกรณีศึกษาสำคัญในวงการอาชญวิทยาและจิตวิทยา มันถูกนำไปสร้างเป็นสื่อ เช่น ภาพยนตร์ The Gray Man (2007) และสารคดี Albert Fish: In Sin He Found Salvation (2007)

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : Wikipedia,ThoughtCo,Oxygen,The Atavist Magazine,Albert Fish In His Own Words, John Borowski,True Crime Database


 

ความคิดเห็น