อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ (Aleхander Kiselev) "ฆาตกรเนกไท" รัสเซีย

 

Aleхander Kiselev: (The Tie Maniac)

    เมืองเพิร์มในยุคที่อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นนั้นเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบแบบชนบท แคว้นเพิร์มโอบลาสต์ (Perm Oblast) ในช่วงปลายยุคโซเวียตและต้นยุคหลังโซเวียตนั้นเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่สำหรับครอบครัวคิเซเลฟ ชีวิตดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น พ่อและแม่ของเขาทั้งคู่มีงานที่มั่นคงในหน่วยงานราชทัณฑ์ ซึ่งในบริบทของสังคมโซเวียตนั้นถือเป็นงานที่มีเกียรติและมอบความมั่นคงให้กับครอบครัว อเล็กซานเดอร์เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ที่ด แต่กลับขาดแคลนบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า—ความอบอุ่นทางจิตใจ เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อของตัวเอง การทะเลาะกันในครอบครัวเริ่มปรากฏชัดเมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่น เขามักมีปากเสียงกับพ่ออย่างรุนแรง และบางครั้งการโต้เถียงเหล่านี้ก็ทิ้งรอยแผลในใจที่ยากจะลบเลือน

ในโรงเรียน อเล็กซานเดอร์ไม่ใช่เด็กที่โดดเด่นอะไร เขาเป็นเด็กเงียบขรึม เก็บตัว และไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมชั้นบางคนเล่าว่าเขามักนั่งคนเดียวในมุมห้อง มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับหลงอยู่ในโลกของตัวเอง เขาไม่มีเพื่อนสนิท และไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้นภายในโรงเรียน ความโดดเดี่ยวนี้เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเขา และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็กลายเป็นบ่อน้ำที่ลึกกักเก็บความมืดในจิตใจของเขา เมื่ออายุได้ 15 ปี อเล็กซานเดอร์ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนหลังจบชั้นมัธยมต้นซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดปกติในสังคมที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา เขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อและไม่หางานทำ ชีวิตของเขากลายเป็นการขังตัวเองอยู่ในอพาร์ตเมนต์เก่าๆ ที่ถนนเพนเซนสกายา (Penzenskaya Street) เลขที่ 64 ซึ่งเป็นย่านชานเมืองที่เงียบเหงาของเพิร์ม เขาอาศัยเงินจากแม่เป็นหลัก และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ นั้น

ความเงียบงันที่ดูน่าหวาดหวั่น :

ต้นปี 2003 อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ อายุ 25 ปี ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในอพาร์ตเมนต์เก่าๆ เขาไม่มีงานทำ ไม่มีเพื่อนสนิท และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกนอกจากการติดต่อกับแม่ของเขา ชีวิตของเขาดูเหมือนจะจมอยู่ในความซบเซาและความว่างเปล่า แต่ภายในจิตใจของเขา ความมืดกำลังก่อตัวอย่างเงียบๆ

อเล็กซานเดอร์เริ่มแสดงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดมากขึ้นในช่วงนี้ เขาหมกมุ่นกับการสะสม เนคไท โดยเฉพาะเนคไทที่มีสีสันสดใส เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจับคู่สีของเนคไทกับเสื้อผ้า โดยเฉพาะรองเท้า เพื่อนบ้านบางคนเล่าว่าเขามักสวมเนคไทที่ดูไม่เข้ากับชุดที่สวมอยู่และบางครั้งยืนนิ่งมองถนนว่างเปล่าเป็นเวลานานราวกับกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ

ในช่วงนี้ เขายังหลอกตัวเองว่าเขาเป็นคนที่มีอิทธิพล โดยใช้ชื่อเล่นว่า "คูดิน" (Kudin) ซึ่งเป็นชื่อของนักเลงท้องถิ่นในยุค 90s เขามักเล่าเรื่องราวที่แต่งขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับโลกอาชญากรรม แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรโดดเด่น นอกจากความหลงใหลในเนคไทและจินตนาการอันดำมืดที่กำลังกัดกินหัวใจของเขา

จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม :

ในกันยายนปีเดียวกัน อเล็กซานเดอร์เริ่มออกจากเปลือกของความโดดเดี่ยว เขาเริ่มปรากฏตัวในที่สาธารณะมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณสถานีรถไฟเพิร์ม II (Perm II Railway Station) ซึ่งเป็นจุดที่คึกคักด้วยผู้คนหลากหลาย เขาใช้ท่าทางที่ดูเป็นมิตรและใบหน้าที่ดูไม่เป็นภัยเพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับคนรอบตัว และนี่คือจุดที่เขาได้พบกับเหยื่อรายแรกของเขา ลิเลีย ทารูตินา (Lilia Tarutina) อายุ 18 ปี และ โอเลเซีย ดานุตซา (Olesya Danutsa) อายุ 20 ปี

ลิเลียและโอเลเซียเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความฝัน พวกเธอเพิ่งเริ่มต้นชีวิตในเมืองเพิร์ม และกำลังอยู่ในช่วงของการค้นหามิตรภาพใหม่ๆ อเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีทักษะในการเข้าหาคนแปลกหน้า เข้าไปพูดคุยกับทั้งสองสาวที่สถานีรถไฟ ด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและคำพูดที่ดูสุภาพ เขาสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับทั้งคู่ได้อย่างรวดเร็ว เขาแนะนำตัวเองว่าเป็น "คูดิน" และเล่าเรื่องราวที่ทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนที่มีฐานะและมีเพื่อนฝูงมากมาย

ในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น อเล็กซานเดอร์ใช้เวลาสร้างความสนิทสนมกับทั้งลิเลียและโอเลเซีย เขาชวนทั้งคู่ไปเดินเล่นในเมือง มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ และแสดงท่าทีเหมือนเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ แต่ในใจของเขา แผนการอันชั่วร้ายกำลังก่อตัว เขาเริ่มจินตนาการถึงการควบคุมชีวิตของทั้งสองสาว และเนคไทที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักของอพาร์ตเมนต์เริ่มกลายเป็นเครื่องมือในจินตนาการอันน่าสะพรึงกลัวของเขา ปลายเดือนตุลาคม 2003 อเล็กซานเดอร์ตัดสินใจลงมือ เขาเลือกลิเลีย ทารูตินา เป็นเหยื่อรายแรก วันที่ 29 ตุลาคม อากาศในเมืองเพิร์มเริ่มหนาวเย็น เขาชวนลิเลียไปเดินเล่นด้วยกัน โดยบอกว่าจะพาเธอไปดื่มกาแฟและเล่นไพ่ที่อพาร์ตเมนต์ของเขา ลิเลีย ซึ่งไว้วางใจเขาในฐานะเพื่อนใหม่ ตกลงโดยไม่รู้ว่านั่นจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเธอ

เมื่อทั้งคู่มาถึงอพาร์ตเมนต์ที่ถนนเพนเซนสกายา บรรยากาศในตอนแรกดูผ่อนคลาย อเล็กซานเดอร์ต้อนรับลิเลียด้วยรอยยิ้มและเริ่มเล่นไพ่กับเธอตามที่สัญญาไว้ แต่ในระหว่างเกม สันดานดิบของเขาก็เผยตัวตนออกมา เขาคว้าเนคไทสีแดงที่เขาเลือกไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีสีเข้ากับรองเท้าสีแดงของลิเลียอย่างลงตัว และรัดคอเธอด้วยความโหดร้าย ลิเลียพยายามต่อสู้ แต่ร่างกายที่บอบบางของเธอไม่อาจต้านทานพลังของเขาได้ เธอสิ้นใจในเวลาไม่นาน

หลังจากการฆาตกรรม อเล็กซานเดอร์นั่งมองศพของลิเลียอยู่นาน ราวกับกำลังชื่นชมผลงานของตัวเอง เขาทิ้งเนคไทไว้รอบคอของเธอราวกับเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ จากนั้น เขาลากศพของเธอไปไว้ในห้องที่ไม่ได้ใช้ในอพาร์ตเมนต์ และเริ่มวางแผนขั้นตอนต่อไป

Perm II Railway Station

การก่อเหตุในครั้งที่สอง :

เพียงแค่วันเดียวหลังจากฆาตกรรมลิเลียไปอย่างเลือดเย็น อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ความเย็นชาในจิตใจของเขานั้นน่าขนลุกจริงๆ คืนวันที่ 29 ตุลาคมนั้นเอง เขาก็ตัดสินใจไปเยี่ยม โอเลเซีย ดานุตซา ที่บ้านของเธอ แถมยังซื้อช่อกุหลาบไปให้เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีที่เขาสร้างไว้ โอเลเซียกำลังป่วยอยู่พอดีและต้องไปร้านขายยาเพื่อซื้อยา อเล็กซานเดอร์ก็อาสาไปเป็นเพื่อน ทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันอย่างปกติ โดยที่โอเลเซียไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเพื่อนชายที่ยิ้มให้เธอคนนี้ เพิ่งจะฆ่าคนมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พอถึงวันที่ 30 ตุลาคม อเล็กซานเดอร์ก็ชวนโอเลเซียไปเดินเล่นอีกครั้ง และเช่นเดียวกับลิเลีย เขาใช้ข้ออ้างว่าจะชวนมาดื่มกาแฟและคุยกันที่อพาร์ตเมนต์ของเขา โอเลเซียที่ยังคงไว้ใจเขา ก็ตกลงไปโดยไม่สงสัย พอเธอก้าวเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ อเล็กซานเดอร์ก็ลงมือทันที เขาคว้าเนคไทเส้นเดียวกับที่ใช้ฆ่าลิเลีย ซึ่งเขาคิดว่าเข้ากับรองเท้าสีเข้มของโอเลเซียอย่างลงตัว และรัดคอเธอจนสิ้นใจ การฆาตกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความลังเลใดๆ

อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ นั่นคือการกำจัดศพ เขายอมรับเลยว่าไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการซ่อนหลักฐานเลยแม้แต่น้อย แต่ความเย็นชาของเขาก็ทำให้เขาสามารถคิดหาวิธีได้อย่างรวดเร็ว เขาตัดสินใจขุดหลุมตื้นๆ ในบริเวณใกล้กับอพาร์ตเมนต์ของเขา ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างที่แทบไม่มีใครผ่านไปมา เขาลากศพของลิเลียและโอเลเซียไปฝังไว้ด้วยกัน โดยยังคงทิ้งเนคไทสีแดงรอบคอของทั้งคู่ไว้ ราวกับเป็นเครื่องหมายของความสมบูรณ์แบบในจินตนาการอันวิปลาสของเขา การฝังศพครั้งนี้ทำอย่างลวกๆ และไม่รอบคอบ เขาไม่ได้พยายามทำลายหลักฐานอื่นๆ อย่างเช่น เสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวของเหยื่อเลย และนี่แหละคือจุดที่นำไปสู่การจับกุมของเขาในเวลาต่อมา

หลังจากฝังศพเสร็จ เขาก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังทำความสะอาดอพาร์ตเมนต์เพียงเล็กน้อย และเริ่มวางแผนที่จะออกเดตกับหญิงสาวคนอื่นๆ เขายังคงปรากฏตัวในที่สาธารณะด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และไม่มีใครในเมืองเพิร์มสงสัยเลยว่าเขาคือฆาตกรที่เพิ่งก่อคดีสะเทือนขวัญ อย่างไรก็ตาม การหายตัวไปของลิเลียและโอเลเซียก็เริ่มสร้างความตื่นตระหนกให้กับครอบครัวของทั้งคู่ พ่อแม่ของพวกเธอแจ้งความกับตำรวจ และการสืบสวนก็เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง ตำรวจพบว่าอเล็กซานเดอร์เป็นหนึ่งในคนสุดท้ายที่พบกับหญิงสาวทั้งสองคน และเมื่อข่าวว่าตำรวจกำลังตามหาเขาแพร่ออกไป อเล็กซานเดอร์ก็ตัดสินใจหลบหนี เขาหายตัวไปจากเมืองเพิร์มชั่วคราว ราวกับผีที่จางหายไปในความมืด...

จุดเริ่มต้นของการสอบสวน :

ปลายเดือนตุลาคมปี 2003 ความวิตกกังวลเริ่มเกาะกินใจของครอบครัว ลิเลีย ทารูตินา วัย 18 ปี และ โอเลเซีย ดานุตซา วัย 20 ปี เมื่อทั้งสองสาวไม่ติดต่อกลับบ้านเลย ลิเลียกับโอเลเซียเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เพิ่งย้ายมาใช้ชีวิตในเมืองเพิร์ม ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้กันจากการได้พบปะในเมือง และมักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่ สถานีรถไฟเพิร์ม II ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวยอดนิยมของวัยรุ่นแถวนั้น พอทั้งคู่หายตัวไปพร้อมๆ กัน ครอบครัวก็รีบแจ้งความกับตำรวจท้องที่เมืองเพิร์มทันที โดยระบุว่าครั้งสุดท้ายที่เจอตัวพวกเขาคือช่วงวันที่ 29-30 ตุลาคมที่ผ่านมา ตำรวจเพิร์มเริ่มต้นการสอบสวนด้วยความเข้าใจว่านี่อาจเป็นแค่คดีคนหายทั่วไป ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอยู่กันหนาแน่น เจ้าหน้าที่เริ่มจากสอบปากคำครอบครัวและเพื่อนๆ ของทั้งสองสาว เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันและคนที่เขาได้พบเจอในช่วงก่อนจะหายตัวไป ข้อมูลแรกๆ ที่ได้มาคือ ทั้งลิเลียและโอเลเซียเพิ่งจะรู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "คูดิน" ซึ่งต่อมาได้มีการยืนยันว่านั่นเป็นชื่อปลอมที่เขาใช้เพื่อสร้างภาพลวงตาว่าเขามีความสัมพันธ์กับโลกอาชญากรรม

หลังจากได้เบาะแสเรื่อง "คูดิน" ตำรวจก็เริ่มแกะรอยต่อทันที โดยการสอบถามพยานที่ สถานีรถไฟเพิร์ม II ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าลิเลียและโอเลเซียมักจะไปรวมตัวกับเพื่อนๆ ที่นั่น พยานหลายคนจำได้ว่าเห็นสองสาวพูดคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเป็นมิตรและแต่งตัวเรียบร้อย แต่สิ่งที่โดดเด่นคือ เขาชอบสวมเนคไทสีสันสดใส ที่ดูไม่เข้ากับชุดที่เหลือของเขาเลย การระบุตัวตนของชายคนนี้เลยกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสอบสวน ตำรวจเริ่มตรวจสอบประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้อง และในที่สุดก็พบว่าชื่อ "คูดิน" นั้นเชื่อมโยงกับ อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่ถนนเพนเซนสกายา หมายเลข64 เจ้าหน้าที่ตัดสินใจไปเยี่ยมอพาร์ตเมนต์ของอเล็กซานเดอร์เพื่อสอบถามข้อมูล แต่เมื่อไปถึง พวกเขากลับพบว่าอพาร์ตเมนต์ว่างเปล่า อเล็กซานเดอร์หายตัวไปราวกับรู้ตัวว่าตำรวจกำลังตามหาเขา การหายตัวไปอย่างกะทันหันนี้ทำให้ตำรวจเริ่มสงสัยว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทั้งสองสาวมากกว่าที่คิดไว้ เจ้าหน้าที่จึงออกหมายจับและกระจายข่าวสารไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วเมืองเพิร์มและเมืองใกล้เคียง เพื่อตามหาตัวชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นเพียง "คนธรรมดา" คนนี้

และแล้ว... ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2003 อเล็กซานเดอร์ ก็กลับมาปรากฏตัวในเมืองเพิร์มอีกครั้ง ราวกับมั่นใจว่าตำรวจคงไม่สามารถตามรอยเขาได้หรอก เขาติดต่อหญิงสาวอีกคนชื่อ โอลกา เพื่อนัดออกเดต โดยไม่รู้เลยว่าโอลกานั้นได้รับข่าวคราวการหายตัวไปของลิเลียและโอเลเซียจากเพื่อนๆแล้ว และรู้ดีว่าเขาคือบุคคลอันตรายที่ตำรวจกำลังตามหา โอลกกเธอติดต่อตำรวจทันทีที่ได้รับข้อความจากเขา และตกลงนัดพบกับอเล็กซานเดอร์เพื่อให้ตำรวจสามารถวางแผนจับกุมได้ ตำรวจจัดตั้งทีมลาดตระเวนและวางกับดักที่จุดนัดพบในเมืองเพิร์มอย่างรัดกุม ในวันที่เขานัดพบกับโอลกา อเล็กซานเดอร์ถูกจับตัวได้ในชุดที่ดูเรียบร้อยพร้อมกับเนคไทสีสันสดใสตามสไตล์ของเขา ไม่มีทางหนีรอดอีกแล้ว

การสารภาพและการค้นพบศพ :

ในการสอบปากคำ อเล็กซานเดอร์ แสดงท่าทีสงบนิ่งและไม่ยอมให้ความร่วมมือในตอนแรก เขายังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการหายตัวไปของลิเลียและโอเลเซีย อ้างว่าไม่รู้เรื่องใดๆเลยเกี่ยวกับคดีนี้ แต่หลังจากที่ถูกสอบสวนอย่างยาวนานและกดดันจากหลักฐานที่เริ่มปรากฏขึ้น เช่น พบเห็นเขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเหยื่อทั้งสอง อเล็กซานเดอร์ก็เริ่มลนลาน มีพิรุจอย่างชัดเจนและในที่สุดเขายอมสารภาพว่าได้ฆ่าลิเลียและโอเลเซียจริง โดยอ้างว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับทั้งคู่ก่อนลงมือฆ่า ซึ่งคำกล่าวอ้างนี้ไม่ได้รับการยืนยันจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เลย อเล็กซานเดอร์นำตำรวจไปยังหลุมฝังศพที่เขาขุดไว้ใกล้กับอพาร์ตเมนต์ของเขาในย่านถนนเพนเซนสกายา เมื่อเจ้าหน้าที่ขุดศพขึ้นมา พวกเขาพบร่างของลิเลียและโอเลเซียในหลุมตื้นๆ โดยทั้งคู่ยังมี เนคไทสีแดง รัดรอบคออยู่ ภาพนี้กลายเป็นภาพที่หลอกหลอนเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เห็น เนคไทนั้นไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการฆาตกรรม แต่ยังเป็นลายเซ็นของฆาตกรที่แสดงถึงความวิปริตในจิตใจของเขา การค้นพบศพนี้ยืนยันความโหดร้ายของคดีและเร่งให้ตำรวจดำเนินการรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการพิจารณาคดีตำรวจเพิร์มในช่วงนั้นมีทรัพยากรจำกัด และคดีคนหายในเมืองใหญ่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ ทำให้การสืบสวนในช่วงแรกไม่คืบหน้าเท่าที่ควร การที่อเล็กซานเดอร์หลบหนีไปจากเมืองเพิร์มหลังจากตำรวจเริ่มสงสัยเขา ทำให้การตามหาตัวเขายากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การขาดหลักฐานทางกายภาพที่ชัดเจนในช่วงแรก เช่น รอยนิ้วมือหรือดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุ ทำให้ตำรวจต้องพึ่งพาคำให้การของพยานและการเชื่อมโยงพฤติกรรมของอเล็กซานเดอร์เป็นหลัก

แต่ความกล้าหาญของ โอลกา ที่ยอมเป็นเหยื่อล่อให้กับฆาตรผูกเนคไท และการทำงานอย่างไม่ย่อท้อของทีมสืบสวน ก็ทำให้คดีนี้เริ่มคลี่คลาย การค้นพบมีดโกนและเนคไทในครอบครองของอเล็กซานเดอร์ขณะถูกจับกุมเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ถึงเจตนาที่จะก่อคดีเพิ่มเติมเป็นแน่และเมื่อเขานำตำรวจไปยังหลุมศพ คดีนี้ก็ปิดลงด้วยการยืนยันว่าเขาคือฆาตกรตัวจริง เรื่องราวของอเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ชายผู้หลงใหลในเนคไทสีสันสดใส และความมืดมิดในจิตใจของเขา ได้จบลงแล้ว แต่เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงภัยอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ในความปกติของชีวิตประจำวัน



หลังจากการสอบสวนและคำสารภาพสิ้นสุดลง อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งตามกฎหมายรัสเซียในขณะนั้น อาจทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 6 ถึง 15 ปีในการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2003 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษจำคุก 13 ปี 6 เดือน ศาลได้พิจารณาถึงปัจจัยบรรเทาโทษบางอย่าง เช่น การที่เขาสารภาพและให้ความร่วมมือในการนำตำรวจไปยังหลุมฝังศพ ทำให้เขาไม่ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้สร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของเหยื่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะครอบครัวของลิเลีย พวกเขายื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลลงโทษที่หนักกว่านี้ แต่ศาลได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2003

การกลับสู่อิสรภาพของมนุษย์ผูกไท :

หลังจากรับโทษจำคุก 13 ปี 6 เดือน จากคดีฆาตกรรมลิเลีย ทารูตินา และโอเลเซีย ดานุตซา ในปี 2003 อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ก็ได้รับการปล่อยตัวในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2022 เขากลับคืนสู่สังคมในฐานะชายวัย 44 ปีที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ในความเป็นจริง จิตใจที่บิดเบี้ยวของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย การปล่อยตัวของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้รับ ทัณฑ์บน (parole) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบทัณฑ์บนในรัสเซียที่พิจารณาจากพฤติกรรมในเรือนจำและการสารภาพผิดในคดีก่อนหน้า ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำ อเล็กซานเดอร์ทำงานในโรงงานไม้ที่เมืองกอร์โนซาวอดสค์ และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น หัวหน้าคนงาน (foreman) ด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในเรือนจำได้ดี และอาจทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเขามีการสำนึกผิด ทว่า การปรับตัวนี้เป็นเพียงหน้ากากที่ซ่อนความหลงใหลในความรุนแรงและความหมกมุ่นในเนคไทที่ยังคงฝังรากลึกในจิตใจของเขา หลังจากได้รับการปล่อยตัว อเล็กซานเดอร์ย้ายไปอยู่ที่เมืองชูโซวอย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเพิร์ม เขาเช่าอพาร์ตเมนต์ในย่านที่เงียบสงบ และเริ่มสร้างชีวิตใหม่ด้วยการทำงานและการเข้าสังคม ในช่วงนี้เองที่เขาได้พบกับ นาตาเลีย หญิงวัย 43 ปี แม่ลูกสาม ที่ทำงานเป็นลูกน้องของเขาในโรงงานไม้ขณะที่เขายังอยู่ในเรือนจำ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนาไปในทางที่ใกล้ชิดมากขึ้นหลังจากเขาออกจากเรือนจำ

เขาโกหกเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง โดยอ้างว่าเคยถูกจำคุกข้อหา "ก่อความวุ่นวาย" (hooliganism) และเล่าว่ามีครอบครัวที่พังทลาย โดยภรรยาทิ้งเขาและลูกไปหลังคลอดบุตร (แน่นอนว่าโกหก) เรื่องราวเหล่านี้ทำให้นาตาเลียเห็นเขาเป็นชายที่ผ่านความยากลำบากแต่ยังคงพยายามเริ่มต้นใหม่ ซึ่งช่วยให้เขาได้รับความเห็นใจจากเธออย่างมาก
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2022 อเล็กซานเดอร์และนาตาเลียเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แม้ว่านาตาเลียเพิ่งแต่งงานกับสามีตามกฎหมาย (common-law husband) ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของลูกๆและอยู่ด้วยกันมานานถึง 13 ปี ความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน และดูเหมือนว่านาตาเลียจะเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอดีตของอเล็กซานเดอร์ เธอถึงขั้นยื่นคำร้องต่อโบสถ์ท้องถิ่นเพื่อขอให้มีการกักตัวเขาเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อรับการบำบัดสุขภาพจิต ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าเธอเริ่มสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของเขาเข้าแล้ว

เงามืดของเนคไท :

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่น่าสะเทือนใจอีกครั้ง เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2022 นาตาเลีย พร้อมด้วยแม่และลูกๆ ไปโบสถ์ด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็ไปออกเดตกับ อเล็กซานเดอร์ และในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เธอก็ถูกบีบคอจนเสียชีวิต เสื้อผ้าของเธอถูกถลกออกไปครึ่งตัว ศพของนาตาเลียถูกพบในวันรุ่งขึ้นบนพื้นที่อพาร์ตเมนต์บนถนน 50 Let VLKSM ในเมืองชูโซวอย หลังจากสังหารนาตาเลีย อเล็กซานเดอร์ตระหนักว่าตำรวจอาจตามหาเขาได้ในไม่ช้า เขาเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและหลบหนีออกจากชูโซวอย มุ่งหน้าไปยังเมืองเพิร์มเพื่อซ่อนตัวที่บ้านพ่อแม่ของเขา ในช่วงนี้ เขาแสดงพฤติกรรมที่ระมัดระวังอย่างมาก โดยเปลี่ยนซิมการ์ดโทรศัพท์ทุกวัน และนอนในอพาร์ตเมนต์เช่าต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกติดตาม ตำรวจเริ่มสืบสวนคดีทันทีหลังจากพบศพของนาตาเลีย การสืบสวนนำไปสู่การค้นพบว่านาตาเลียเคยยื่นคำร้องต่อโบสถ์เกี่ยวกับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบอพาร์ตเมนต์ที่เขาเช่าในชูโซวอย แต่ก็พบว่าเขาหลบหนีไปแล้ว การตามล่าฆาตกรจึงขยายวงกว้างไปยังเมืองเพิร์มและพื้นที่ใกล้เคียง

ในที่สุด วันที่ 20 พฤศจิกายน 2022 เจ้าของอพาร์ตเมนต์เช่าในย่านโมโตวิลิคินสกี บนถนน Boulevard Gagarin ในเมืองเพิร์ม ก็รายงานต่อตำรวจว่าผู้เช่ารายหนึ่งของเธอคือ อเล็กซานเดอร์ คิเซเลฟ ข้อมูลนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของคดีเลยทีเดียว ตำรวจบุกเข้าจับกุมเขาที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าว โดยพบว่าเขายังคงพกเนคไทและของใช้ส่วนตัวที่อาจเชื่อมโยงกับคดี เขาสารภาพอย่างเต็มใจถึงการฆาตกรรมนาตาเลีย โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการที่เขาใช้เนคไทรัดคอเธอ และยอมรับว่าเลือกเนคไทที่เข้ากับรองเท้าของเธอ การสารภาพของเขานั้นเย็นชาและตรงไปตรงมา ราวกับว่าเขามองการฆาตกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "พิธีกรรม" ที่เขาหมกมุ่นมานาน

คำตัดสินที่ไม่เป็นธรรม และคำถามที่ยังค้างคา :

อเล็กซานเดอร์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไม่มีสถานการณ์ที่ทำให้โทษหนักขึ้น (เช่น การฆ่าด้วยความโหดร้ายพิเศษ) ซึ่งตามกฎหมายอาจทำให้เขาได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 6 ถึง 15 ปี ในการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2023 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษจำคุก 13 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นโทษที่ใกล้เคียงกับคดีในปี 2003 ศาลพิจารณาถึงปัจจัยบรรเทาโทษเพราะเขาร่วมมือรับสารภาพและให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ คำตัดสินนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับครอบครัวของนาตาเลียเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแคว้นเพิร์มเพื่อขอโทษที่หนักกว่านี้ แต่เช่นเคย... ศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์

ความรู้สึกของความอยุติธรรมยังคงฝังลึกในใจของครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักไป และทำให้เกิดคำถามในสังคมเกี่ยวกับการจัดการกับผู้กระทำผิดซ้ำที่มีประวัติรุนแรง คดีนี้ยังชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ในระบบทัณฑ์บนและการติดตามผู้กระทำผิดที่มีประวัติเป็นฆาตกรต่อเนื่อง การที่อเล็กซานเดอร์สามารถกลับมาก่อคดีได้เพียงไม่กี่เดือนหลังจากได้รับอิสรภาพ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า สังคมจะปกป้องตัวเองจากบุคคลที่มีจิตใจบิดเบี้ยวเช่นนี้ได้อย่างไร



ความคิดเห็น